“บล.เมย์แบงก์” เชียร์ซื้อ 3BBIF เป้า 6 บ. มองราคาสะท้อนปัจจัยลบแล้ว ลุ้นปีนี้ยีดล์สูง 12%

“บล.เมย์แบงก์” เชียร์ซื้อ 3BBIF ราคาเป้า 6 บาท มองราคาหุ้นสะท้อนประเด็นที่ตลาดกังวลไปแล้ว ลุ้นปีนี้จ่ายปันยีลดล์สูง 12% ส่วนปี 74-81 ลุ้นยีลด์แตะที่ระดับ 13-14%


บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(9 ก.ค.67) ว่า บริษัทได้ปรับคำแนะนำกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต สามบีบี หรือ 3BBIF (เดิมชื่อ JASIF) จาก ถือ เป็น ซื้อ เนื่องจากมองว่าราคาหุ้นได้สะท้อนประเด็นที่ตลาดกังวลไปแล้ว

ขณะที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในช่วงปี 67-69 อยู่ที่ระดับ 10-12% และอัตราผลตอบแทน IRR ที่ 7.9% (เทียบกับ DIF ที่ 7.4%) ลดราคาเป้าหมายอิงวิธี DCF ลงเหลือ 6.0 บาท (WACC 6.7%) จาก 6.50 เนื่องจาก 1) ลดประมาณการกำไรลง 2-5% ตั้งแต่ปี 67 เป็นต้นไป และ 2) เลื่อนไปใช้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 68 จากสิ้นปี 67 ปัจจัยที่น่าจะหนุนราคาหุ้นคือการลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยในปี 68 ซึ่งอาจเพิ่มความต้องการของนักลงทุนในหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงDividend Yield

นอกจากนี้ปรับลดประมาณการกำไรจากการลงทุนสุทธิในปี 67-69 ลง 2-5% จากการลดรายได้เล็กน้อย และเพิ่มค่าใช้จ่ายในการดาเนินงาน 9-14% การเพิ่มประมาณการค่าใช้จ่ายมาจากการเพิ่มค่าใช้จ่ายค่าพาดสายไฟเบอร์บนเสาไฟฟ้า (right-of-way expense) ในปี 67 เป็น 190 ล้านบจาก 102 ล้านบาท ,ปี 68 เป็น 220 ล้านบจาก 107 ล้านบาท และปี 69 เป็น 220 ล้านบจาก 112 ล้านบาท ตามลำดับ

ทั้งนี้ตามรายงานการประเมินมูลค่าจาก American Appraisal (31 มี.ค.67) จำนวนเงินสูงสุดที่ 3BBIF อาจต้องจ่ายเป็นค่าพาดสายต่อปีคาดว่าจะอยู่ที่ 220 ล้านบาท ประมาณการใหม่ของเราถือว่าค่อนข้างระมัดระวัง เมื่อเทียบกับค่าพาดสายในปี 66 ที่มีเพียง 99 ล้านบาท

แม้จะมีการปรับลดประมาณการกำไรและเงินปันผลต่อหุ้นในปี 67 ยังคาดว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในปี 67 จะยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 12% นอกจากนี้ประมาณการใหม่ของยังสะท้อนว่าผลตอบแทนจากเงินปันผลในช่วงปี 68-73 จะอยู่ที่ระดับ 10-11% และขึ้นไปแตะที่ระดับ 13-14% ในปี 74-81 โดยการชำระหนี้งวดสุดท้ายจะเกิดขึ้นในปี 73 ทำให้ 3BBIF สามารถจ่ายเงินปันผลมากขึ้นตั้งแต่ปี 74 เป็นต้นไป กระแสเงินปันผลตั้งแต่ไตรมาส 2/67 ถึง ไตรมาส 4/81 (สิ้นสุดสัญญาเช่า) สะท้อนอัตราผลตอบแทน IRR ที่ 7.9% (เทียบกับ DIF ที่ 7.4%)

โดยเชื่อว่าประเด็นที่ตลาดกังวลได้สะท้อนไปในราคาหุ้นแล้ว หลังจากที่ปรับตัวลดลงถึง 21% ตั้งแต่จุดสูงสุดในปีนี้ที่ 6.75 บาทเมื่อวันที่ 5 ม.ค. โดยประเด็นที่ตลาดกังวล ได้แก่ 1) ความเป็นไปได้ที่จะต้องจ่ายค่าพาดสายมากขึ้น (เราใช้ตัวเลขกรณีเลวร้ายที่สุด ในประมาณการล่าสุดของเรา) และ 2) ความเสี่ยงในการถูกปรับปรับเงินจากการติดตั้งสายไฟเบอร์ออปติกบนเสาไฟฟ้าของ กฟภ. อย่างผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ข้อกำหนดสัญญาระบุว่า 3BB (ไม่ใช่3BBIF) จะต้องรับผิดชอบต่อการชำระค่าปรับที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

Back to top button