SEI จ่อเทรด Q3 นี้! นำเงินระดมทุน “ขยายกลุ่มสินค้าเพิ่ม” รองรับลูกค้ารพ.รัฐ-เอกชน
SEI เปิดแผนขับเคลื่อนธุรกิจ ภายหลังระดมทุน เดินหน้าขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ รองรับลูกค้าโรงพยาบาลภาครัฐ-เอกชน พร้อมตอกย้ำถึงพื้นฐานเติบโตแข็งแกร่ง เตรียมลงสนามเทรดตลาด mai ไตรมาส 3/67 นี้
นายกานต์ ปุญญเจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสอีไอ เมดิคัล จำกัด (มหาชน) หรือ SEI เปิดเผยว่า ภายหลังจากการเข้าระดมทุนใน ตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ช่วงไตรมาส 3/2567 ที่เสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวนไม่เกิน 50 ล้านหุ้น นั้น บริษัทจะนำเงินไปใช้ตามวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ และร่วมลงทุนกับบริษัทที่เกี่ยวข้องธุรกิจทางการแพทย์ พร้อมเดินหน้าขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ให้มากขึ้น เพื่อรองรับลูกค้าโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชน ช่วยหนุนให้พื้นฐานของบริษัทแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง พร้อมก้าวสู่การเติบโตรับเมกะเทรนด์เครื่องมือทางการแพทย์
ทั้งนี้ เป็นการสอดรับกับเป้าหมายการต่อยอดและขยายการเติบโตสู่ความยั่งยืน ภายใต้การยกระดับและพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันในการสร้างโอกาสทางธุรกิจ ด้านการให้บริการเครื่องมือและนวัตกรรมทางการแพทย์ ที่ครบวงจรในทุกมิติ ผ่าน 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกช่วงเวลาของชีวิต
ประกอบด้วย 1.กลุ่มสินค้าสำหรับผู้ป่วยทารกแรกเกิด (Neonatal Care) ซึ่งเป็นกลุ่มเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้ดูแลทารกแรกเกิดปกติ และทารกที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะวิกฤต ในระยะแรกหลังคลอด 2.กลุ่มสินค้าด้านกล้องส่องตรวจ (Endoscope) เป็นกลุ่มเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้ในห้องส่องกล้องสำหรับการตรวจทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจและโสตศอนาสิก 3.กลุ่มสินค้าด้านการผ่าตัด (Surgery) เป็นกลุ่มเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้ในห้องผ่าตัด
4.กลุ่มสินค้าอุปกรณ์และเครื่องมือวิทยาศาสตร์ (Laboratory) เป็นกลุ่มเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ใช้ในการตรวจวิเคราะห์ วัดอนุภาค เก็บรักษาตัวอย่าง และบ่มเพาะเชื้อเพื่อการทำวิจัย และ 5.กลุ่มสินค้าด้านความงาม (Aesthetic) เป็นกลุ่มเครื่องมือ ทางการแพทย์ที่ใช้สำหรับเสริมความงามทางร่างกาย
โดยในปัจจุบัน SEI ได้รับการแต่งตั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าเครื่องมือทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ ภายใต้ตราสินค้าของผู้ผลิตทั้งหมด 17 แบรนด์ จาก 11 ประเทศ โดยแบ่งเป็นสัดส่วนกลุ่มลูกค้าภาครัฐบาล 69.50% อาทิ โรงพยาบาลรัฐ, หน่วยงานราชการ, สถาบันการศึกษาแพทย์ และอื่นๆ ส่วนอีก 30.50% เป็นภาคเอกชน อาทิ โรงพยาบาลเอกชน คลินิก ลูกค้ารายบุคคล และอื่นๆ ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวยังคงมีดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ สอดรับกับแนวโน้มการเติบโตของกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ในปีนี้ที่คาดว่าจะมีการขยายตัวต่อเนื่องจากกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติและนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ที่จะเข้ามาใช้บริการด้านสุขภาพ ในประเทศไทย รวมถึงแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการดูแลสุขภาพ อาทิ ความงาม ศูนย์แพทย์เฉพาะทาง และศูนย์ดูแลผู้สูงอายุครบวงจร ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลเชิงบวกต่อภาพรวม SEI
“สำหรับกลุ่มสินค้าสำหรับผู้ป่วยทารกแรกเกิดและกลุ่มสินค้าด้านกล้องส่องตรวจ โดยปัจจุบันมีสัดส่วน 80% ของรายได้และอีก 20% มาจากในส่วนกลุ่มสินค้าเครื่องมือด้านการผ่าตัด รวมทั้งกลุ่มสินค้าอุปกรณ์และเครื่องมือวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้บริษัทจะมีการรับรู้รายได้ปัจจุบันประมาณภาครัฐ 70% และภาคเอกชน 30% ภายหลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์แผนการดำเนินงานของบริษัทมีการตั้งเป้าหมายใหม่ว่ารายได้จากภาครัฐเป็น 60% และเอกชนอยู่ที่ 40%” นายกานต์ กล่าว
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงปี 2563-2566 พบว่าในปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้ปีรวมอยู่ที่ 376.76 ล้านบาท ต่อมาในปี 2564 มีรายได้รวมอยู่ที่ 374.00 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2565 มีรายได้รวมอยู่ที่ 320.55 ล้านบาท และในปี 2566 มีรายได้รวมอยู่ที่ 393.57 ล้านบาท
ส่วนกำไรสุทธิปี 2563 – 2566 พบว่าในปี 2563 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 4.67 ล้านบาท ต่อมาในปี 2564 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 16.21 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2565 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 17.86 ล้านบาท และในปี 2566 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 21.87 ล้านบาท