“ดาวโจนส์” ปิดร่วง 533 จุด นลท.ตัดขายหุ้น “มาร์เก็ตแคปสูง”-เทคโนโลยี

"ดาวโจนส์" ปิดร่วง 533.06 จุด หลังนลท.เทขายหุ้นเป็นวงกว้าง นำโดยหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปสูง รวมถึงหุ้นบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองที่ไม่แน่นอนของสหรัฐ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงในวันพฤหัสบดี (18 ก.ค.) กว่า 500 จุด ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดในแดนลบติดต่อกันเป็นวันที่สอง เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นออกมาเป็นวงกว้าง ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองที่ไม่แน่นอนของสหรัฐ

โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 40,665.02 จุด ลดลง 533.06 จุด หรือ -1.29%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,544.59 จุด ลดลง 43.68 จุด หรือ -0.78% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,871.22 จุด ลดลง 125.70 จุด หรือ -0.70%

ด้าน ทิม กริสคีย์ นักกลยุทธ์ด้านพอร์ตโฟลิโอจากบริษัท Ingalls & Snyder ในรัฐนิวยอร์กกล่าวว่า ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา นักลงทุนได้ย้ายการลงทุนออกจากหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปสูงซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ไปยังหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปปานกลางและมาร์เก็ตแคปต่ำ แต่ล่าสุดนักลงทุนได้เทขายหุ้นออกมาเป็นวงกว้าง เพราะต้องการถือเงินสดเอาไว้ ในช่วงเวลาที่สถานการณ์การเมืองสหรัฐยังคงไม่แน่นอน

ขณะที่ยีน โกลด์แมน นักวิเคราะห์จากบริษัท Cetera Investment Management ในรัฐนิวยอร์กกล่าวว่า นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาเป็นวงกว้างหลังจากที่ได้ซึมซับข่าวดีต่าง ๆ แล้ว ซึ่งรวมถึงการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย.และการที่สหรัฐมีแนวโน้มที่จะรอดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยขณะนี้นักลงทุนมีความกังวลว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกันจะออกมาแสดงความเห็นในเชิงลบอีกหรือไม่ หลังจากที่เขาขู่ว่าจะปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนหากได้กลับมาครองทำเนียบขาวอีกครั้ง

สำหรับหุ้น 10 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ร่วงลง 2.3% ตามด้วยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยร่วงลง 1.28% ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นสวนทางภาพรวมของตลาด โดยปรับตัวขึ้น 0.33%

ส่วนดัชนี Nasdaq ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ดิ่งลง 2.8% ในวันพุธ (17 ก.ค.67) ซึ่งเป็นการปรับตัวลงในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2565 โดยได้รับผลกระทบจากแรงเทขายหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์ หลังจากมีรายงานว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดนกำลังพิจารณาบังคับใช้มาตรการที่เข้มงวดกับบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี หากบริษัทเหล่านี้ยังคงอนุญาตให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีของสหรัฐ

ดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ค.ปีนี้

โดยหุ้นโดมิโน่ พิซซ่า (Domino’s Pizza) ร่วงลง 13.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายที่ต่ำกว่าคาด
หุ้นวอร์เนอร์ บราเธอร์ส ดิสคัฟเวอรี (Warner Bros. Discovery) พุ่งขึ้น 2.4% หลังมีรายงานว่าบริษัทกำลังวางแผนแยกธุรกิจดิจิทัลสตรีมมิงและธุรกิจสตูดิโอ ออกจากเครือข่ายทีวี

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก เพิ่มขึ้น 20,000 ราย สู่ระดับ 243,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 12 ส.ค. 2566 และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 229,000 ราย

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟียเปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตในภูมิภาคมิด-แอตแลนติก พุ่งขึ้น 13 จุด สู่ระดับ +13.9 ในเดือนก.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ +2.9

ทั้งนี้ ดัชนีภาคการผลิตมีค่าเป็นบวกบ่งชี้ว่า ภาคการผลิตในภูมิภาคมิด-แอตแลนติกมีการขยายตัว โดยได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน

Back to top button