“ดาวโจนส์” ปิดลบ 377 จุด วิตก “ไมโครซอร์ฟต์ล่ม” กระทบทั่วโลก

“ดัชนีดาวโจนส์” ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบ 377.49 จุด หรือ 0.93% เซ่นเหตุ “ไมโครซอร์ฟต์ล่ม” หลังมีความผิดพลาดที่เกิดกับซอฟต์แวร์ของ Crowdstrike


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงอีกในวันศุกร์ (19 ก.ค.) เนื่องจากความปั่นป่วนที่เกิดจากการหยุดชะงักทางเทคนิคทั่วโลกอันเนื่องมาจากข้อผิดพลาดของซอฟต์แวร์นั้น ทำให้ตลาดที่มีความวิตกกังวลอยู่แล้วมีความไม่แน่นอนมากขึ้น

ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 40,287.53 จุด ลดลง 377.49 จุด หรือ -0.93%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,505.00 จุด ลดลง 39.59 จุด หรือ -0.71% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,726.94 จุด ลดลง 144.28 จุด หรือ -0.81%

โดยในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนี Nasdaq และ S&P 500 ปรับตัวลงรายสัปดาห์รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ซึ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ในช่วงต้นสัปดาห์นั้น ปรับตัวขึ้นในรอบสัปดาห์นี้ ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 นั้น หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงมากที่สุด ขณะที่กลุ่มเฮลท์แคร์และกลุ่มสาธารณูปโภคเป็นเพียง 2 กลุ่มที่ปรับตัวขึ้นสวนทางตลาด

ความผิดพลาดที่เกิดกับซอฟต์แวร์ของ Crowdstrike ซึ่งเป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์นั้นทำให้ระบบปฏิบัติการ Windows ของ Microsoft ล่ม ส่งผลให้เกิดการหยุดชะงักทางเทคนิคที่กระทบต่อการดำเนินงานในหลายอุตสาหกรรม รวมถึงสายการบิน ธนาคาร และการดูแลสุขภาพ แม้ว่ามีการตรวจพบข้อบกพร่องและแก้ไขแล้ว แต่ปัญหาทางเทคนิคก็ยังคงส่งผลกระทบต่อบริการบางส่วน

หุ้น Crowdstrike ร่วงลง 11.10% ขณะที่หุ้นของบริษัทคู่แข่งด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่าง Palo Alto Networks และ SentinelOne พุ่งขึ้น 2.2% และ 7.8% ตามลำดับ

ดัชนีความผันผวนของตลาด ซึ่งถือเป็นตัวชี้วัดความวิตกกังวลของนักลงทุนนั้น แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปลายเดือนเม.ย.

หุ้นกลุ่มชิปร่วงลงจากแรงเทขาย นำโดยหุ้นอินวิเดีย ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ของตลาดฟิลาเดลเฟีย ร่วงลง 3.1%

หุ้นเน็ตฟลิกซ์ร่วงลง 1.5% ในการซื้อขายที่ผันผวน หลังจากบริษัทเตือนว่า การเพิ่มจำนวนผู้สมัครสมาชิกในไตรมาส 3 จะต่ำกว่าปีก่อน

ด้านนายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์กได้ระบุย้ำถึงความมุ่งมั่นของเฟดในการปรับลดอัตราเงินเฟ้อให้กลับสู่เป้าหมายที่ระดับ 2%

เครื่องมือ FedWatch ของ CME บ่งชี้ว่า ตลาดการเงินคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ 93.5% ที่เฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมเดือนก.ย.

ส่วนในสัปดาห์หน้า นักลงทุนจะจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทเทสลา, อัลฟาเบท, ไอบีเอ็ม และเจนเนอรัล มอเตอร์ส

Back to top button