โบรกแนะสอย 3 หุ้นเด่น รับ “ครม.” ไฟเขียว “สายสีส้ม” เดินหน้าต่อวงเงิน 1.4 แสนล้านบาท

โบรกมองข่าว “ครม.” อนุมัติเดินหน้าโครงการ “รถไฟฟ้าสายสีส้ม” มูลค่า 1.4 แสนล้านบาท ชี้เป็นบวกต่อหุ้น BEM-CK-SEAFCO คาดเปิดให้บริการตลอดสายปี 73


เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามีการพิจารณาคดีความที่นับเป็นมหากาพย์ชิงสัมปทานการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ อย่างโครงการก่อสร้าง “รถไฟฟ้าสายสีส้ม” ระหว่าง บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ที่เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ให้ศาลเพิกถอนเอกสารประกาศเชิญชวนการประมูลที่ BEM เป็นผู้ได้รับสัมปทานการก่อสร้างซึ่งอาจมีการทุจริตการคัดเลือก โดยโครงการนี้มีเส้นทางรวมกว่า 35.9 กม. แบ่งออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ส่วนตะวันออกสถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-สถานีสุวินทวงศ์และตะวันตกบางขุนนนท์ – ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยและนับเป็นอีกโครงการที่มีขยายใหญ่และมูลค่าสูงกว่า 1.43 แสนล้านบาท

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2567 ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยกฟ้อง BTSC ในทุกคดีความที่ฟ้องต่อ BEM เป็นเรียบร้อยแล้ว ขณะที่หลังจากนั้นได้มีการร่างสัญญาร่วมลงทุนใหม่พร้อมกับผ่านการพิจารณาจากอัยการสูงสุดเรียบร้อยแล้ว โดยวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้ BEM เป็นผู้ดำเนินงานต่อในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนต่อขยายช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ซึ่งมีการลงนามสัญญาเป็นที่เรียบร้อยในวันที่ 18 กรกฎาคม ที่ผ่านมา คาดการณ์หากเปิดให้บริการตลอดเส้นทางในปี 2573 อาจมีประชาชนใช้บริการวันละ 4 แสนคน

ขณะที่สอดคล้องกับบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุถึงข่าวการพิจารณาคดีดังกล่าวว่ามีมุมมองบวกต่อ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM, บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK และ บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO จากความคืบหน้าโครงการนี้ โดยคาดการณ์ว่า SEAFCO จะเป็นผู้รับเหมาะเข็มเจาะหลัก พร้อมกับมองว่าหากรถไฟฟ้าสายสีส้มก่อสร้างแล้วเสร็จจะช่วยเพิ่มจำนวนเที่ยวโดยสารของสายสีฟ้าของ BEM

ทั้งนี้ ฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าหุ้นเด่นที่จะได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ ได้แก่ CK โดยแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 27.30 บาท จากการที่บริษัทดำเนินธุรกิจกลุ่มผู้รับเหมาโยธาพร้อมกับการมีแนวโน้มงานในมือ (Backlog) ที่แข็งแกร่ง รวมไปถึงหุ้น SEAFCO แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 3.24 บาท หลังจากจะได้รับประโยชน์จากการเป็นผู้รับเหมาในส่วนงานขุดเจาะเสาเข็ม

บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง CK แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 27 บาท ภายหลังโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มได้รับการอนุมัติให้เดินหน้าต่อและสัญญาระหว่าง BEM ซึ่งรัฐบาลได้ลงนามเซ็นสัญญาร่วมกันแล้วในวันที่ 18 ก.ค. 67 ที่ผ่านมา หลังจากนี้ BEM จะแต่งตั้งให้ CK เป็นผู้ก่อสร้างหลักในโครงการนี้ โดยมีมูลค่าโครงการรวมสูงถึง 1.09 แสนล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นงานโยธาฝั่งตะวันตก จำนวน 8.2 หมื่นล้านบาท และอีก 2.7 หมื่นล้านบาทเป็นงานระบบ (M&E) และขบวนรถไฟฟ้า

อีกทั้งภายในสิ้นปีนี้ หาก BEM ได้งานโครงการทางด่วนยกระดับมูลค่าราว 3.4 หมื่นล้านบาท จะส่งผลให้งานในมือ (backlog) ของ CK ปรับตัวขึ้นอีกซึ่งจะส่งผลให้รายได้มั่นคงไปจนถึงปี 2573 พร้อมทั้งหากโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มมีพัฒนาการด้านบวกดีกว่าคาดการณ์นับจากไตรมาส 3/2567 ไปจะช่วยหนุนให้กำไรครึ่งปีหลัง 2567 ของ CK

บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง CK แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 26.75 บาท โดยในไตรมาส 1/2567 บริษัทมีงานในมือ (Backlog) จำนวน 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์อาจเห็น CK มี backlog แตะระดับ 2 แสนล้านบาท จากการรับรู้งานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสายส้มมูลค่า 8.52 หมื่นล้านบาท และพร้อมทั้งอาจได้งานก่อสร้างโครงการทางพิเศษยกระดับชั้นที่ 2 ช่วงงามวงศ์วาน-พระราม 9 (Double Deck) โดย BEM ได้เป็นผู้ลงทุนแลกกับการขยายสัมปทานทางด่วนกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) วงเงินลงทุนกว่า 4 หมื่นล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุถึง BEM แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 11.00 บาท เนื่องจากมีความเห็นเชิงบวกต่อประเด็นดังกล่าวเพราะการได้เข้าไปดำเนินการรถไฟฟ้าสายสีส้มของ BEM จะส่งผลบวกอย่างมีนัยสำคัญทั้งในเชิงความต่อเนื่องของรายได้ที่มีสัญญายาว 30 ปี และการร่วมลงทุน (Synergy) ที่เกิดขึ้นจากความประหยัดต่อขนาดในการบริหารรถไฟฟ้าหลายเส้นทาง รวมถึงการส่งต่อผู้โดยสารให้กับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินซึ่งเป็นรถไฟฟ้าเส้นทางหลักของ BEM ในปัจจุบัน

ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/2567 ยังเติบโตได้ทั้งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและจากไตรมาสก่อนหน้าสนับสนุนจากธุรกิจรถไฟฟ้าที่มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงไตรมาสนี้มีเงินปันผลรับจาก บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP และ บริษัท ทีทีดับบลิว จำกัด (มหาชน) หรือ TTW จำนวน 373 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจทางพิเศษแม้รายได้มีอัตราการเติบโตต่ำแต่ยังยังเป็นธุรกิจหลักที่สร้างกระแสเงินสดให้กับ BEM นอกจากนี้การเติบโตยังมีอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเติบโตจากภายใน (Organic growth) ที่เกิดจากจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและทางด่วนที่เพิ่มขึ้น พร้อมการคว้าสัญญาใหม่ทั้งการเดินรถไฟฟ้าสายสีส้ และทางด่วนชั้นที่ 2 Double Deck ที่จะมีความชัดเจนในปีนี้ ให้น้ำหนักลงทุน

Back to top button