CGSI แนะผู้ประกอบการ “อสังหาริมทรัพย์-ก่อสร้าง” ประยุกต์ใช้หลัก ESG เพิ่มมูลค่าธุรกิจ
CGSI แนะภาคอสังหาริมทรัพย์-ก่อสร้าง นำหลักการ “ESG” ประยุกต์ใช้ในองค์กร เพื่อดึงดูดนักลงทุน สร้างมูลค่าหุ้นและบริษัทให้โตโดดเด่น
นายเกษม พันธ์รัตนมาลา กรรมการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI เปิดเผยว่า หลักการของ ESG นั้น ส่งผลต่ออสังหาริมทรัพย์ในหลายด้าน ดังนั้นหากผู้ประกอบการนำปัจจัยเหล่านี้ไปใช้ก็จะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานและทำให้บริษัทเติบโตได้เร็วขึ้น อาทิ การถูกปรับจากการทำผิดกฎหมายก็จะลดลง, การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นและสินทรัพย์จะมีมูลค่าสูงขึ้นองค์ประกอบด้านสิ่งแวดล้อมของ ESG เกี่ยวข้องกับหลายเรื่อง อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, มลพิษ ของเสีย, การรีไซเคิลและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ
โดยเดิมทีการมีส่วนร่วมของบริษัทต่างๆ ในการปกป้องสิ่งแวดล้อมมักจะมุ่งเน้นไปที่เรื่องการก่อสร้างอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ปัจจุบันหลายบริษัทมีการรายงานเกี่ยวกับการใช้พลังงานจริงของอาคารและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ, การวัดปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยออกมาเมื่อสร้างอาคารใหม่, การประเมินความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศของอาคาร รวมถึงพอร์ตทรัพย์สินของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเรื่องต่างๆ เหล่านี้เป็นปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่ต้องคำนึงถึงด้วยเช่นกัน
ขณะที่ ปัจจัยด้านสังคมเกี่ยวข้องกับทรัพยากรมนุษย์และโอกาสทางสังคมมุ่งเน้นไปที่ผลกระทบของการก่อสร้างอาคารต่อสังคม ได้แก่ สุขภาพของพนักงาน, ผู้เช่าและชุมชนท้องถิ่น ส่วนปัจจัยด้านธรรมาภิบาลเกี่ยวข้องกับโครงสร้างความเป็นผู้นำของบริษัท, การปฏิบัติตามกฎหมาย, ความหลากหลายของพนักงานและการรักษาพนักงาน, วัฒนธรรมองค์กร รวมถึงชื่อเสียงขององค์กร เป็นต้น
เพราะฉะนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่แรงกดดันต่อหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างจากประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม, สังคมและธรรมาภิบาล (ESG) จะมีความเข้มข้นมากขึ้น เนื่องจากตึกและอาคารมีการใช้พลังงานประมาณ 40% ของโลก, มีการใช้น้ำราว 1 ใน 4 ของการใช้น้ำทั่วโลกและมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็น 1 ใน 3 ของทุกปี ขณะที่ การผลิตปูนซีเมนต์มากกว่า 4 พันล้านตันคิดเป็นราว 8% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วโลก (อ้างอิงจาก United Nations Environment Programme, Energy Efficiency for Buildings และ Chatham House/Cambridge IP, Making Concrete Change: Innovation in Low-carbon Cement and Concrete, 2018.)
อีกทั้งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกี่ยวข้องกับกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างและห่วงโซ่อุปทาน นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมหลังการก่อสร้างยังมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากระบบทำความร้อน, ความเย็นและระบบแสงสว่าง ซึ่งอาคารมากกว่า 80% ที่จะอยู่ในปี 2593 ได้ถูกสร้างขึ้นแล้ว โดยหมายความว่าผลกระทบเหล่านี้ยังจะเกิดขึ้นได้ในอนาคตท่ามกลางสภาพภูมิอากาศที่ไม่อาจคาดการณ์ได้
ดังนั้น จึงมีการเรียกร้องจากหลายส่วนให้ภาคการก่อสร้างหันมาให้ความสำคัญกับ ESG รวมทั้งนักลงทุนและผู้บริโภคเองต่างก็แสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหา ESG จึงทำให้ข้อกำหนดด้านกฎหมาย, ข้อบังคับและการรายงานมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในหลายประเทศทั่วโลก
ขณะที่ในประเทศที่กำลังพัฒนานั้น (green construction) ให้ผลตอบแทนที่ดีมาก ซึ่งการเติบโตของประชากรและความเจริญของเมืองทำให้กิจกรรมด้านการก่อสร้างซึ่งคิดเป็น 40% ของ GDP เพิ่มขึ้น และมีการลงทุนด้านประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคารควบคู่ไปด้วย ซึ่งถือเป็นการประหยัดทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งช่วยชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทำให้ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะเวลาอันสั้น นอกจากนี้ การก่อสร้างอย่างยั่งยืนจะส่งผลให้มีผู้อาศัยและผู้เช่ามีสุขภาพที่ดีและมีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ตัวชี้วัดด้านความยั่งยืนที่แข็งแกร่งยังสามารถดึงดูดนักลงทุน เพราะเชื่อว่าจะทำให้อสังหาริมทรัพย์มีมูลค่าสูงขึ้น, สามารถดึงดูดผู้เช่าได้มากขึ้น, มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นและนำไปสู่ความสามารถในการทำกำไรที่สูงขึ้น ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างจึงจำเป็นต้องเผชิญกับความท้าทายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่เพียงแต่เพื่อประโยชน์ที่มากขึ้นเท่านั้น แต่ยังเพื่อดึงดูดการลงทุนและลดความเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีให้เหลือน้อยที่สุด
ขณะนี้ ESG มีบทบาทสำคัญในการดำเนินงานของบริษัทต่างๆ มากขึ้น การพิจารณาด้าน ESG ของภาคอสังหาริมทรัพย์จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกสำหรับนักลงทุนตลอดวงจรชีวิตของสินทรัพย์ ตั้งแต่การคัดกรองโครงการต่างๆไปจนถึงการซื้อกิจการ, การจัดการสินทรัพย์, การพัฒนาอาคารและการขายสินทรัพย์ ในขณะที่ต้องมีการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคารในการให้บริการแก่ผู้เช่าด้วย
นอกจากนี้การก่อสร้างยังเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่ต้องคำนึงถึง ESG มากที่สุดในแง่ของแรงงานยุคใหม่, การคุ้มครองสุขภาพและความปลอดภัย, กฎหมายต่อต้านการติดสินบนและการทุจริต, การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์, ความหลากหลายและความเท่าเทียมในการจ้างงานระหว่างเพศของพนักงาน รวมถึงผลกระทบทางสังคมของโครงการมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลจะมีบทบาทในการลดแรงจูงใจต่อพฤติกรรม ESG ที่ไม่พึงประสงค์ โดยการออกกฎหมาย, การเก็บภาษีและค่าปรับ ดังนั้นนักลงทุนและบริษัทต่างๆจึงมีความตื่นตัวเรื่อง ESG มากขึ้น
โดยบทความนี้จะมุ่งเน้นไปที่การนำ ESG มาใช้ในการวิเคราะห์หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ซึ่งก่อนอื่นต้องมาดูว่ามีปัจจัยสำคัญอะไรที่มีผลกระทบทางการเงินกับบริษัทอย่างมีนัยยะและตัวบริษัทเองมีผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจโดยรวมอย่างไร แนวคิดนี้เรียกว่า การประเมินผลกระทบภายนอกต่อสังคมหรือสิ่งแวดล้อม และผลกระทบภายในที่มีต่อมูลค่าองค์กร หรือ (double materiality) เชื่อว่าเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับธุรกิจอสังหาฯและก่อสร้าง เพราะกิจกรรมต่างๆของบริษัทส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนที่อยู่ใกล้กับพื้นที่ก่อสร้าง