TOP ร่วง 3% หวั่นแรงงานประท้วงยืดเยื้อ กระทบโครงการ CFP ล่าช้า

TOP ลบ 3% เซ่นข่าว “แรงงานประท้วงค่าจ้าง” หากยืดเยื้อเสี่ยงกระทบโครงการพลังงานสะอาด “CFP” อาจล่าช้า ฟากโบรกมองไตรมาส 2 กำไรแตะ 5 พันล้านบาท เติบโต 49% แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้า 65 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (25 ก.ค.67) ราคาหุ้น บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ณ เวลา 10:25 อยู่ที่ระดับ 50.25 บาท ลบ 2.00 บาท หรือ 3.83% สูงสุดที่ระดับ 52.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 50.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 286.57 ล้านบาท

โดย TOP เปิดเผยกรณีมีข่าวปรากฏบนสื่อสังคมออนไลน์ว่ามีกลุ่มผู้ใช้แรงงานจำนวนหนึ่งไม่ได้รับค่าจ้างตามกำหนดรวมตัวประท้วงบริเวณริมถนนสุขุมวิท หน้าโรงกลั่นไทยออยล์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่ากลุ่มผู้ใช้แรงงานดังกล่าวเป็นพนักงานของ บริษัท ซิโนเพค เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด (SINOPEC) ซึ่งเป็นผู้รับเหมาช่วงของกิจการร่วมค้า Unincorporated Joint Venture of Petrofac, Saipem, Samsung (UJV) ที่เป็นผู้รับเหมาหลักและเป็นผู้ว่าจ้าง SINOPEC ในการก่อสร้างโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project: CFP) ให้กับบริษัทฯ ได้มารวมตัวกันเรียกร้องค่าจ้างจาก SINOPEC เนื่องจาก SINOPEC อ้างว่าไม่ได้รับค่าตอบแทนตามสัญญาที่มีกับ UJV

โดยวานนี้ บริษัทฯ ได้ประสานให้มีการหารือร่วมกันระหว่างตัวแทนกลุ่มผู้ใช้แรงงานของ SINOPEC หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สำนักงานกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรี สำนักงานประกันสังคมจังหวัดชลบุรี สำนักงานปลัดอำเภอศรีราชา และ UJV แต่การเจรจายังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ ทำให้ขณะนี้การชุมนุมประท้วงยังคงมีต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ได้ดำเนินการดูแลและมีบุคลากรที่มีความพร้อมในการรักษาความปลอดภัยของโรงกลั่นฯ โดย บริษัทฯ หวังว่า UJV และ SINOPEC จะสามารถบรรลุข้อตกลงและให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่ได้รับผลกระทบทุกคน ในฐานะที่ UJV และ SINOPEC เป็นผู้ว่าจ้างกลุ่มผู้ใช้แรงงานดังกล่าว

ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่ามีมุมมองเป็นกลางจากข่าวนี้ ซึ่งเชื่อว่าการประท้วงนี้จะไม่ได้กระทบการดำเนินงานของโรงกลั่นของ TOP อย่างไรก็ดี หากการประท้วงยืดเยื้อเป็นระยะเวลานานเชื่อว่าจะมีความเสี่ยงที่สูงขึ้นที่โครงการพลังงานสะอาด Clean Fuel Project หรือ CFP อาจจะมีความล่าช้าออกไป

ขณะที่ในเบื้องต้นยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 อยู่ที่ 1.52 หมื่นล้านบาท ลดลง 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งลดลงตามค่าการกลั่นตลาด (market GRM) ที่ปรับสู่ระดับปกติมากขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง สำหรับภาพระยะสั้นประเมินว่า TOP จะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/2567 อยู่ที่ 5.0 พันล้านบาท  เพิ่มขึ้น 49% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลง14% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยกำไรสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหลักๆ มาจากการรับรู้กำไรจากสต๊อก (stock gain) ในขณะที่อ่อนตัวจากไตรมาสก่อนหน้าตาม market GRM ที่น้อยลง

อย่างไรก็ดี เชื่อว่า market GRM จะกลับมาฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้าได้ในไตรมาส 3/2567 ตามแนวโน้มพรีเมียมน้ำมันดิบ (crude premium) ที่อ่อนตัว โดยยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายที่ 65.00 บาท

Back to top button