“ดาวโจนส์” ปิดบวก 81 จุด ขานรับ GDP สหรัฐโตเกินคาด

“ดาวโจนส์” ปิดบวก 81 จุด ขานรับ GDP สหรัฐ ไตรมาส 2/67 ขยายตัว 2.8% สูงกว่านักวิเคราะห์คาดที่ระดับ 2.1%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (25 ก.ค.67) ขานรับตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐที่ขยายตัวได้ดีเกินคาดในไตรมาส 2/2567 แต่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดในแดนลบเนื่องจากนักลงทุนยังคงเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 39,935.07 จุด เพิ่มขึ้น 81.20 จุด หรือ +0.20%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,399.22 จุด ลดลง 27.91 จุด หรือ -0.51% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,181.72 จุด ลดลง 160.69 จุด หรือ -0.93%

ส่วนหุ้น 7 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารร่วงลง 1.86% ตามด้วยดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง 1.14% ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้น 1.47% และ 0.76% ตามลำดับ

ด้านดัชนีดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ของ GDP ประจำไตรมาส 2/2567 โดยระบุว่า GDP ขยายตัว 2.8% สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.1% หลังจากมีการขยายตัวเพียง 1.4% ในไตรมาส 1/2567 โดยการขยายตัวของ GDP ไตรมาส 2/2567 ได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน

ขณะที่หุ้นอินเตอร์เนชั่นแนล บิสซิเนส แมชชีน (IBM) พุ่งขึ้น 4.3% และเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนบวก หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ที่สูงกว่าคาดในไตรมาส 2/2567 และได้ปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้ของธุรกิจซอฟต์แวร์ในปีนี้

ด้านหุ้นกลุ่มขนส่งในดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones Transportation Average Index) ดีดตัวขึ้น 1.3% โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นสายการบินและบริษัทโลจิสติกส์ โดยหุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ พุ่งขึ้น 5.5% หุ้นเซาท์เวสต์ แอร์ไลน์ ทะยานขึ้น 5.5% ส่วนหุ้นโอลด์ โดมิเนียน (Old Dominion) และหุ้นเจพี ฮันท์ (J B Hunt) ซึ่งเป็น 2 บริษัทโลจิสติกส์รายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 5.7% และ 4.3% ตามลำดับ

ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ยังคงปิดในแดนลบ เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีต่อเนื่องจากเมื่อวันพุธ (24 ก.ค.) หลังจากบริษัทอัลฟาเบทและเทสลาเปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวังในไตรมาส 2/2567

โดยในระหว่างวัน หุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่มีมาร์เก็ตแคปสูงดีดตัวขึ้น แต่ก็ถูกเทขายในช่วงท้ายตลาด โดยหุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ ร่วงลง 1.7% หุ้นไมโครซอฟท์ ดิ่งลง 2.4% หุ้นอินวิเดีย ร่วงลง 1.72%

ด้านหุ้นอัลฟาเบท ร่วงลง 3.1% ปิดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 6 พ.ค.ปีนี้ โดยหุ้นอัลฟาเบทร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่ 2 หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวังในไตรมาส 2/2567 และเป็นสาเหตุที่ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีออกมาอย่างหนักในวันพุธ ส่งผลให้ดัชนี Nasdaq และ S&P500 ร่วงลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2565 ในวันดังกล่าว

ส่วนดัชนี Russell 2000 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มบริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปต่ำ ดีดตัวขึ้น 1.3% โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนย้ายการลงทุนออกจากหุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่มีมาร์เก็ตแคปสูงไปยังหุ้นกลุ่มบริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปต่ำ

ทั้งนี้นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐในวันนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)

นอกจากนี้นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี PCE ทั่วไป (Headline PCE) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะปรับตัวขึ้น 2.4% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี จากระดับ 2.6% ในเดือนพ.ค. และคาดว่าดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะปรับตัวขึ้น 2.5% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี จากระดับ 2.6% ในเดือนพ.ค.

Back to top button