โบรกแนะ “ซื้อ” GPSC ชี้กำไรไตรมาส 2 โต 365% แตะ 1.4 พันล้านบาท
โบรกแนะ “ซื้อ” GPSC ลุ้นกำไรไตรมาส 2 เติบโต 365% แตะ 1.4 พันล้านบาท รับอานิสงส์ธุรกิจโรงไฟฟ้า SPP และต้นทุนก๊าซลดลงพร้อมปริมาณขายหนุน แต่หั่นราคาเป้าหมายเหลือ 55 บาท จากเดิม 60 บาท เพื่อสะท้อนการปรับประมาณการกำไรทั้งปีและส่วนแบ่งบริษัทร่วมทุนที่ลดลง
ต้องยอมรับว่าหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าราคาหุ้นปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC หลังจากที่ราคาขึ้นไปทำไฮรอบใหม่ที่ 56.50 บาท เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 67 ก่อนที่ราคาจะปรับลงมากว่า 7.75% มาอยู่ที่ 38.75 บาท ในวันที่ 26 ก.ค. 67 แม้ GPSC จะได้รับอานิสงส์จากการปรับขึ้นราคาค่าไฟอีกหน่วยละ 20 ส.ต. แต่ก็ไม่ทำให้ราคาหุ้น GPSC เกิดการฟื้นตัวได้
ราคาหุ้น GPSC ที่ยังปรับตัวลงต่อ ดูเหมือนจะส่วนทางกับสิ่งที่นักวิเคราะห์ได้ศึกษาและประเมินผลการดำเนินงานของ GPSC อย่างมุมมองของ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า กำไรสุทธิ GPSC ไตรมาส 2/67 เติบโตอยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 365% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 67% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยคาดว่า GPSC จะรายงานผลประกอบการไตรมาส 2/67 ในวันที่ 8 ส.ค.นี้
คำถามที่ตามมากำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นมาจากส่วนใด เรื่องนี้ บล.กสิกรไทย อธิบายว่า หลักๆ มาจากผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็ก (SPP) ที่ปรับตัวดีขึ้นทั้งในแง่ของอัตรากำไรและปริมาณการขาย ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจ SPP คาดการณ์จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 24% จาก 12% ในไตรมาส 2/66 และเพิ่มขึ้น 22% จากในไตรมาส 1/67 ตามต้นทุนก๊าซที่ลดลง รวมทั้งการนำราคาต้นทุนก๊าซรวมกับโรงแยกก๊าซมาใช้ย้อนหลัง ขณะเดียวกันยอดขายของกลุ่มลูกค้าภาคอุดสาหกรรม (IU) คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาสก่อนหน้า เป็น 2,125 GWh
แต่ในแง่ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทในเครือและบริษัทร่วมทุน บล.กสิกรไทย คาดการณ์ว่า บริษัทในเครือและบริษัทร่วมทุน (JV) ของ GPSC จะมีส่วนแบ่งกำไรเพียงเล็กน้อยในไตรมาสที่ 2/67 โดยโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ในอินเดีย หรือ Avaada คาดการณ์ว่าจะมีส่วนแบ่งกำไรที่ค่อนข้างต่ำแม้ว่าไตรมาสที่ 2/67 จะเป็นช่วงไฮซีซั่นก็ตาม โดยมาจากการปรับโครงสร้างต้นทุนทางการเงินที่เกิดขึ้นครั้งเดียว
นอกจากนี้ ยังเป็นช่วงโลว์ซีซันของโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่ง Changfang และ Xidao (CFXD) ในไต้หวันและโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำไซยะบุรีที่ยังไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้มากนักระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่านจากภาวะเอลนีโญเป็นลานีญา
นำไปสู่การปรับประมาณการกำไรช่วง 3 ปี (2567-2569) โดยปี 2567 คาดการกำไรลดลง 15% จาก 5.9 พันล้านบาท เหลือ 5.0 พันล้านบาท, ปี 2568 ลดลงอยู่ที่ 16% จาก 7.9 พันล้านบาท ลดลงเหลือ 6.7 พันล้านบาท และสุดท้ายปี 2569 ลดลงอยู่ที่ 9% จาก 8.7 พันล้านบาท เหลือ 7.9 พันล้านบาท
โดยการปรับลดประมาณการครั้งนี้เพื่อสะท้อนปัจจัยต่างๆ ได้แก่ 1.การปรับเพิ่มสมมติฐานราคาก๊าซ (pool gas) เป็น 310 บาท, 280 บาท, 270 บาท ต่อ MMBtu 2.การปรับเพิ่มประมาณการค่า Ft เป็น 0.40 บาท, 0.40 บาท, 0.30 บาท ต่อ kWh ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.18 บาท, 4.18 บาท, 4.08 บาท ต่อ kWh ซึ่งสะท้อนถึงสถานการณ์ปัจจุบัน และ 3.การปรับสมมติฐานส่วนแบ่งกำไรให้เป็นไปในเชิงอนุรักษ์นิยมมากขึ้น โดยเฉพาะจากโครงการ Avaada ตามส่วนแบ่งกำไรจากโครงการที่น้อยกว่าคาดการณ์เดิม
แต่ทั้งนี้ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ลดราคาเป้าหมายอิงด้วยวิธี SOTP ลงจาก 60.00 บาท เป็น 55.00 บาท เพื่อสะท้อนการปรับประมาณการกำไรและสมมติฐานสำคัญที่อัปเดตใหม่ อย่าง ค่า Ft และราคาก๊าช พร้อมทั้งปรับปีฐานราคาเป้าหมายไปเป็นกลางปี 2568 แม้จะมีการปรับราคาเป้าหมายดังกล่าวแต่ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” เนื่องจาก GPSC มีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์จากราคาก๊าซธรรมชาติที่ลดลงและกำลังเร่งขยายกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียน