เปิด 54 บจ.พื้นฐานดี “SETESG” เรตติ้ง AA-AAA รับเงิน TESG ไหลเข้าตลาดหุ้น 3 หมื่นลบ.

ครม.เคาะปรับเงื่อนไขกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) ลดหย่อนภาษี 3 แสนบาท ถือครอง 5 ปี สำหรับหน่วยลงทุนที่ซื้อตั้งแต่ 1 ม.ค. 67-31 ธ.ค. 69 ด้านก.ล.ต.มั่นใจ TESG เงื่อนไขใหม่ หนุนตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังฟื้น เห็นเงินไหลเข้าเดือนละ 6 พันล้านบาท สิ้นปีเงินลงทุนอย่างน้อย 3 หมื่นล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์ฯ จับมือฟุตชี่ รัสเซล ยกระดับประเมิน SET ESG Rating “เอเซีย พลัส” เปิดโผ 54 หุ้นพื้นฐานแกร่งในกลุ่ม SET ESG เรตติ้ง AA-AAA มี CG REPORT ระดับ “ดีเลิศ” และราคาลงแรง จับตาเป็นเป้าหมาย TESG


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย หรือ Thailand ESG Fund (TESG) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้ขยายวงเงินการหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากค่าซื้อหน่วยลงทุนจาก 100,000 บาทต่อปีภาษี เป็น 300,000 บาทต่อปีภาษี ทั้งนี้ในอัตราไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมิน

ทั้งนี้ ให้ลดเวลาถือครองหน่วยลงทุนเหลือไม่น้อยกว่า 5 ปี (จากเดิมต้องถือครองหน่วยลงทุนเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 8 ปี) สำหรับหน่วยลงทุนที่ซื้อตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2569 และกำหนดให้ไม่ต้องนำเงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่ TESG มารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ต้องถือหน่วยลงทุนดังกล่าวมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีนับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน)

กระทรวงการคลังยังได้รายงานประมาณการการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่จะได้รับตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว โดยคาดว่าจะมีการสูญเสียรายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มอีกปีละประมาณ 13,000-14,000 ล้านบาท

นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เผยว่า สำนักงานก.ล.ต.จะออกประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนขยายขอบเขตให้ครอบคลุมหุ้นที่อยู่ในดัชนี SET ESG Rating ที่ได้รับความเชื่อถือในระดับสากล กับบริษัทจดทะเบียนที่มีระดับการประเมิน CG Rating ของสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ตั้งแต่ 3 ดาวขึ้นไป และมีการเปิดเผยข้อมูลด้านบรรษัทภิบาล (G) เพิ่มเติม

โดยเมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการกำกับตลาดทุน ก.ล.ต.ก็ได้มีการเห็นชอบปรับปรุงหลักเกณฑ์กองทุน Thai ESG โดยสาระสำคัญแบ่งออกเป็น 2 ประเด็น คือ 1.ขยายการประเมินเรตติ้งในการลงทุนของกองทุน Thai ESG รวมถึงกรณีบลจ.ประสงค์จะใช้บริการผู้ประเมินรายอื่นที่มีความน่าเชื่อถือและมีอิสระที่จะจัดเรตติ้งให้ได้ เช่น S&P Global, MSCI ซึ่งคู่ขนานกับทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่จะมีการเปลี่ยนผู้จัดทำ ESG Rating จากตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็น FTSE Russell อย่างเป็นทางการ

2.เพิ่มให้กองทุน Thai ESG สามารถลงทุนหุ้นที่มีธรรมาภิบาลในระดับดีเลิศ พิจารณาจากเรตติ้ง IOD ที่ต้องมีระดับ 90 คะแนนขึ้นไป ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 320 บริษัทจดทะเบียน จัดอยู่ในดัชนี SET ESG Rating อยู่แล้ว 132 บริษัท นอกจากนี้หากมีกระบวนการเปิดเผยแผนหรือเป้าหมายในการทำธุรกิจที่จะเพิ่มมูลค่าของกิจการออกมาที่ชัดเจน และเปิดเผยข้อมูลสื่อสารกับผู้ลงทุนผ่านกิจกรรม Opportunity Day ปีละ 2 ครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องของความยั่งยืนในเชิงการให้ความสำคัญกับผู้ถือหุ้น นอกเหนือจากการรายงานข้อมูล One-report ก็สามารถจะลงทุนได้

สำหรับการใช้สิทธิลดหย่อนในกองทุน Thai ESG จะมีผลเฉพาะหน่วยลงทุนที่ซื้อตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2567 จนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2569 เท่านั้น จากเงื่อนไขเดิมใช้สิทธิได้จนถึงปี 2575 โดยเงื่อนไขใหม่ทางกระทรวงการคลังขอประเมินผลสัมฤทธิ์ของมาตรการในช่วง 3 ปีก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะยกเลิกการใช้สิทธิแต่อย่างใด

เบื้องต้นคาดหวังเม็ดเงินลงทุนจะเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยประมาณ 6,000 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งปีนี้มีเวลาขายราว 5 เดือน (ส.ค.-ธ.ค. 2567) จึงคาดว่าจะเห็นเงินลงทุนไหลเข้าจนถึงสิ้นปีนี้เป็นอย่างน้อย 30,000 ล้านบาท ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะเป็นปัจจัยบวกเข้ามาช่วยฟื้นภาพตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังได้

สำหรับข้อมูล ณ สิ้นเดือน เม.ย. 2567 มีกองทุน Thai ESG ทั้งหมด 23 กอง มีผู้ถือหุ้นกว่า 95,000 ราย โดยมีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการ (AUM) เกือบ 7,000 ล้านบาท ถึงแม้ขนาดจะยังไม่ใหญ่ แต่ผลเชิงบวกคือมีบริษัทจดทะเบียนที่มีการเปิดเผยข้อมูลก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นถึง 40%

“กองทุน Thai ESG กองทุนสามารถขายให้ลูกค้าได้เลย แต่ทางบลจ.จะต้องมาปรับแก้ไขโครงการโดยอาศัยอำนาจก.ล.ต. ในการให้ความเห็นชอบ หรือขอมติผู้ถือหน่วยลงทุน ซึ่งไม่ได้ใช้เวลานาน และไม่ต้องตั้งกองใหม่ โดยสิ่งที่คาดหวังไม่ได้มองจำนวนกองใหม่ที่บลจ.ออก แต่อยากเห็นเม็ดเงินเข้าลงทุนที่มากขึ้น ซึ่งได้ประโยชน์จากการลงทุนระยะยาว แต่ถ้าจะมีจำนวนกองใหม่เพิ่มขึ้น ก็อยากเห็นนโยบายที่มีความแตกต่างกัน คือมีโปรดักต์ลงทุนที่มีความหลากหลายมากขึ้น” นางพรอนงค์ กล่าว

ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ได้ร่วมมือกับสถาบันจัดทำดัชนีหลักทรัพย์จากประเทศอังกฤษ ฟุตชี่ รัสเซล หรือ FTSE Russell ผู้ประเมิน ESG ที่จัดเรทติ้งด้าน ESG ใน 47 ประเทศ มากว่า 8,000 บริษัท เพื่อยกระดับให้บจ.ไทย มีการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนมาตรฐานเดียวกับสากล ซึ่งปีที่ผ่านมาบริษัทจดทะเบียน  (บจ.)เปิดเผยข้อมูล ESG จำนวน 884 บริษัท คิดเป็น 76% ของบจ.ทั้งหมด

ทั้งนี้ ข้อมูลจาก Morning Star ระบุว่า ปีที่ผ่านมามีกองทุนด้น ESG กว่า 7,600 กอง มีมูลค่าสินทรัพย์อยู่ภายใต้การบริหาร (AUM) 2.99 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับไทยมีกองทุนด้าน ESG จำนวน 124 กอง มี AUM ที่ 76,000 ล้านบาท

ขณะที่ ศ.ดร.พรอนงค์ กล่าวว่า การนำมาตรฐานสากลในการเปิดเผยตามมาตรฐานสากลต้องสามารถทำงานร่วมกันได้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้มีส่วนได้เสีย โดยมี 3 มาตรการ คือ ให้บจ.ดำเนินการด้านความยั่งยืน มีการออกกฎระเบียบให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และส่งเสริมนักลงทุนให้ความสำคัญกับการลงทุนในบจ.ที่มี ESG ผ่านกองทุน ThaiESG ณ สิ้นมิ.ย. 2567 มี 32 กองทุน มี AUM กว่า 70,000 ล้านบาท

ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน ตลท. กล่าวว่า ตลท.ตั้งเป้าหมายภายในปี 2569 จะมีบจ.เข้ามาร่วมประเมินใน FTSE ESG Scores จำนวนกว่า 350-400 บริษัท หรือคิดเป็น 90% ของมาร์เก็ตแคปรวมในตลาด และเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีบจ. อยู่ใน SET ESG Ratings จำนวน 192 บริษัท

โดยในส่วนของปีนี้ ตลท.จะเริ่มนำร่องเกณฑ์การประเมินของ FTSE Russell มาจัดทำควบคู่กับการประเมิน SET ESG Ratings แต่ยังไม่ประกาศผลสู่สาธารณะ และจะนำบจ.ที่อยู่ใน SET100 จำนวน 35 บริษัทที่ยังไม่ได้เข้าร่วมใน SET ESG Ratings มาเข้าประเมินด้วย ส่วนภายในปี 2568 คาดว่าบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่สนใจจะเข้ามาร่วมประเมินใน FTSE ESG Scores เพิ่มมากขึ้น

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) เผยว่า จากประเด็นเรื่องกองทุน TESG เป็นไปได้ว่าเม็ดเงินจากฝั่งสถาบันจะกลับมาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทย และหนุนดัชนีปรับตัวขึ้นช่วงสั้นได้ ซึ่งเม็ดเงินที่คาดหวังจากกองทุน Thai ESG ใหม่ ที่ไหลกลับเข้ามาหนุนตลาดหุ้น น่าจะมีเม็ดเงินหนุนราว 4 –5 หมื่นล้านบาท ตามการเปรียบเทียบด้านเม็ดเงินที่สามารถนำมาลดหย่อยภาษีได้กับกองทุน LTF เดิม โดยเม็ดเงินที่หนุนตลาดหุ้นไทยทุก ๆ 1 หมื่นล้านบาท มักหนุนให้ดัชนีขยับขึ้นได้ 1–2%

ส่วนกลยุทธ์การลงทุน แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ 1.คัดกรองหุ้นใน SETESG ที่มี ESG RATINGS อยู่ในระดับสูงสุด “AAA” และยังมี CG REPORT อยู่ในระดับ “ดีเลิศ” หรือ 5 คะแนน น่าจะเป็นหุ้นเป้าหมายอันดับต้น ที่เม็ดเงินของนักลงทุนสถาบันฯ และเม็ดเงินจาก THAIESG FUND ใหม่จะไหลเข้า ได้ผลลัพธ์ 29 บริษัท ได้แก่

บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC, บริษัท โรงพยาบาลมหาชัย จำกัด (มหาชน) หรือ M-CHAI, บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU, บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP, บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC, บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC, บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP, บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM, บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR, บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP

บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA, บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT, บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC, บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP, บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM, บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK, ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB, บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA

บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP, บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC, บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9, บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP, บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF, บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA, บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STGT

2.คัดกรองหุ้นใน SETESG ที่มี ESG RATINGS อยู่ในระดับสูงลองลงมา “AA” ที่ราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปี (YTD) ปรับฐานลงมาลึก บวกกับปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต ได้ผลลัพธ์ 25 หุ้น ได้แก่

บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI ราคาลง (ytd) 49%, บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ราคาลดลง 48%, บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ราคาลดลง 44%, บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS ราคาลง 43%, บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ราคาลง 42%, บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG ราคาลง 38%, บริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SAT ราคาลง 37%, บริษัท เอิร์ธ เท็ค เอนไวรอนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ETC ราคาลง 36%

บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ THANI ราคาลง 33%, บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL ราคาลดลง 31%, บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ราคาลง 28%, บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP ราคาลดลง 27%, บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL ราคาลดลง 26%, บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH ราคาลดลง 23%, บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO ราคาลง 23%, บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO ราคาลง 23%

บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD ราคาลง 21%, บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC ราคาลง 21%, บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ราคาลง 20%, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ราคาลง 20%, บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANB ราคาลง 20%, บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ราคาลง 20%, บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI ราคาลง 19%, บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE ราคาลง 18%, บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ราคาลง 17% ขณะที่ SET ปรับตัวลง 8%

สรุป กองทุน THAI ESG ใหม่ น่าจะจูงใจให้คนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น ทั้งในมุม VALUATION ที่น่าสนใจ การเติบโตที่ยั่งยืน อีกทั้งข้อบังคับระยะเวลาการถือครองยังสั้นสุดเมือเทียบกับกองทุนประหยัดภาษีอื่น ๆ ทั้ง LTF และ SSF โดยกลยุทธ์การลงทุน เน้นหุ้นในกลุ่มที่มี ESG RATING “AA-AAA” ที่ราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปีปรับฐานลงมาลึก(รวมกลยุทธ์หุ้นกลุ่ม 1 และ 2) อาทิ PTTGC, SCC, CRC, SCGP, BGRIM, IVL, AP, BCH, HMPRO, GPSC, PLANB, CPN และ BJC เป็นต้น

Back to top button