“ชัยยศ” แนะเก็งกำไร 3 หุ้นค้าปลีก จ่อรับเม็ดเงิน “ดิจิทัลวอลเล็ต”
“ชัยยศ จิวางกูร” มอง SET มีโอกาสปรับตัวขึ้น รับปัจจัยบวกจากดิจิทัลวอลเล็ต ให้แนวต้านที่ 1,320 จุด แนะเก็งกำไร “CPALL-CPAXT-BJC” จ่อรับเม็ดเงินดิจิทัลวอลเล็ต พร้อมจับตาผลประชุม “เฟด” คืนนี้
นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS เปิดเผยในรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันนี้ (31ก.ค. 67) ว่า ในสัปดาห์นี้ยังมีอีก 2 เหตุการณ์สำคัญที่ต้องรอติดตาม ได้แก่ 1.ผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในคืนนี้ โดยคาดว่าจะคงดอกเบี้ยในระดับปัจจุบัน อย่างไรก็ตามแนะนำนักลงทุนติดตามแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยที่ผ่านมาเฟดได้แสดงท่าทีว่าดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงเกินไป ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐ ทั้งนี้ คอนเซนซัสมองว่ามีแนวโน้มที่เฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงเดือนก.ย. 67
2. การลงทะเบียนดิจิทัลวอลเล็ตในวันพรุ่งนี้ (1 ส.ค. 67)ซึ่งมองว่าหลายกลุ่มๆ จะได้รับประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว และยังมีปัจจัยบวกที่จะเข้ามาในตลาดหุ้นไทย ดังนั้นจึงมองว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสปรับตัวขึ้น โดยให้แนวต้านที่ 1,320 จุด
ส่วนประเด็นทางการเมืองในสัปดาห์หน้า ทั้งคดีของนายเศรษฐา ทวีสิน และพรรคก้าวไกล มองว่าหากศาลตัดสินว่าความเป็นนายกรัฐมนตรียุติลง และมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคก้าวไกล จะส่งผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากจะต้องมีการจัดตั้งรัฐมนตรีชุดใหม่ซึ่งอาจทำให้ดัชนี SET Index หลุดระดับ 1,300 จุดได้ แต่หากมีการยุบพรรคก้าวไกลมองว่า ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยไม่มากนัก เนื่องจากระบบเศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนด้วยฝั่งรัฐบาล ซึ่งหากรัฐบาลยังอยู่ก็เชื่อว่าเศรษฐกิจยังเดินหน้าต่อไปได้ ทั้งนี้ หากศาลตัดสินให้รอดทั้งคู่มองว่า ตลาดหุ้นไทยน่าจะตอบรับในเชิงบวก
สำหรับหุ้นกลยุทธ์การลงทุนให้สอดรับกับปัจจัยบวกจากดิจิทัลวอลเล็ต ได้แก่ หุ้นกลุ่มค้าปลีก อาทิ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT และ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC โดยมองว่ายังราคาหุ้นยังมีโอกาสอัพไซด์ และสามารถเล่นเก็งกำไรได้
ส่วนกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการกองทุน Thailand ESG Fund (TESG) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้ขยายวงเงินการหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากค่าซื้อหน่วยลงทุนจาก 100,000 บาทต่อปีภาษี เป็น 300,000 บาทต่อปีภาษี ทั้งนี้ในอัตราไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมิน โดยให้ลดเวลาถือครองหน่วยลงทุนเหลือไม่น้อยกว่า 5 ปี (จากเดิมต้องถือครองหน่วยลงทุนเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 8 ปี) มองว่าเรื่องดังกล่าวเป็นแรงกระตุ้นให้กับตลาดทุนไทยได้ แต่เม็ดเงินที่จะเข้ามาในช่วงนี้คงยังมีไม่มากเนื่องจากตามปกติแล้ว คนจะซื้อกองทุนในช่วงไตรมาส 4
อย่างไรก็ตามหากต้องการเล่นสะสมรอเม็ดเงินในช่วงปลายปี แนะนำ หุ้นกลุ่มค้าปลีก และกลุ่มธนาคาร