เปิด 15 หุ้น mai ขึ้นแรง-ร่วงหนัก 7 เดือนแรก YGG ทรุดเกือบ 80%
สแกน 15 หุ้นตลาด mai ขึ้นแรง-ร่วงหนักรอบ 7 เดือนแรกของปีนี้ 24CS บวกสูงสุด 213% ส่วน YGG ร่วงหนักสุดเกือบ 80%
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจหุ้นในกลุ่ม mai ที่ราคาปรับตัวขึ้นแรงและราคาปรับตัวลดลงแรงรอบ 7 เดือนแรกของปี 67 มานำเสนอ โดยเปรียบข้อมูลราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 28 ธ.ค.66-31 ก.ค.67 ซึ่งคัดเลือกมา 15 ดันดับแรก ไม่รวมใบสำคัญแสดงสิทธิ (วอร์แรนต์), หุ้นไอพีโอที่เข้าใหม่ และหลักทรัพย์ที่แขวนเครื่องหมาย ตามตารางประกอบด้านล่างนี้
สำหรับหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 24CS, TRT, NDR, CHOW และ PROS
โดย TRT เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า ในปี 67 บริษัทคาดการณ์จะสร้างรายได้ประมาณ 2,783 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจาก 2 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า (Transformer) ซึ่งมีลูกค้าหลักเป็นหน่วยงานภาครัฐ เช่น การไฟฟ้านครหลวง (MEA) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) รวมถึงบริษัทเอกชนทั่วไป คาดว่าจะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 2,130 ล้านบาท รวมถึงการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศทั่วโลก 340 ล้านบาท และรายได้จากฝั่งธุรกิจการให้บริการ 120 ล้านบาท ส่งผลให้การรับรู้รายได้ฝั่งหม้อแปลงไฟฟ้าราว 2,590 ล้านบาท
ส่วนกลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่หม้อแปลง หรือ Non-Transformer เช่น แบตเตอรี่ลิเธียม, รถกระเช้า, รถเครน, และตัวถังหม้อแปลงไฟฟ้าคาดว่าจะทำรายได้ 193 ล้านบาท
ขณะที่ยอดขายรอรับรู้รายได้จาก Backlog ณ วันที่ 31 มี.ค. 67 อยู่ที่ 1,770 ล้านบาท ไฮไลต์สำคัญ คือ งานหม้อแปลงขนาดใหญ่ที่อยู่ระหว่างผลิตให้กับ EGAT นอกจากนี้บริษัทมีงานประมูลและเสนอราคาทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีมูลค่ากว่า 15,271 ล้านบาท ซึ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จสร้างเป็นยอดขายและรายได้ประมาณ 20%
ส่วนหุ้นที่ปรับตัวลดลงแรงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ YGG, ARIN, PEER, PRI และ BBIK
สำหรับราคาหุ้น YGG ปรับตัวลดลงมาอย่างหนัก หลังนายธนัช จุวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร YGG ได้ถูกทำรายการขายหุ้น (Forced Sell) ผ่านระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ จำนวนทั้งสิ้น 241,879,026 หุ้น หรือเท่ากับ 40.19% และหลุดออกจากการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่ง
ส่วนหุ้นที่น่าสนใจอย่าง BBIK ด้านบล.เมย์แบงก์ จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 44 บาท จากแนวโน้มกำไรช่วงครึ่งหลังของปี 67 โดยกำไรยังมีโอกาสเติบโตได้แม้จะผ่านพ้นช่วงโควิดระบาดไปแล้ว ส่วนปัจจัยที่คาดการณ์ว่าจะหนุนราคาหุ้น คือ การพลิกกลับมามีกำไรราย
ไตรมาสที่แข็งแกร่งในไตรมาส 3/67 (โต 10% จากปีก่อน, โต 85% จากไตรมาสก่อน) หลังจากกำไรไตรมาส 2/67 ที่อ่อนแอ (ลดลง 37% จากปีก่อน, ลดลง 35% จากไตรมาสก่อน)