ORI เดินสาย “โรดโชว์” เปิดตลาดลูกค้า “อาหรับ-ดูไบ-อินเดีย

ORI ทุบสถิติกวาดยอดขายต่างชาติครึ่งปีแรก 2567 ทะลุ 2.5 พันล้านบาท โต 253% ตั้งเป้าทั้งปีปิดยอดขายต่างชาติแตะ 5 พันล้านบาท หลังครึ่งปีหลังขนทัพเดินสายโรดโชว์เปิดตลาดลูกค้าอาหรับ-ดูไบ-อินเดีย


นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI  เปิดเผยว่า ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 บริษัทมียอดขายโครงการที่อยู่อาศัยจากตลาดลูกค้าต่างชาติสูงถึง 2,500 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 253% และทุบสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงหลังเกิดโรค COVID-19

โดยสาเหตุหลักมาจากการเปิดตัว Origin Agent Club จับมือกับเอเจนท์รายใหม่ๆ เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทสามารถโปรโมทโครงการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่ายขึ้นและกว้างขึ้น มีช่องทางการขายผ่านโซเชียลมีเดีย ทำให้ประสานงานการขายได้แบบ Real-time

“ปัจจัยภายนอกหลายๆ ด้านในขณะนี้ ก็หนุนให้ชาวต่างชาติมองไทยในฐานะประเทศจุดหมายปลายทางของการเป็นบ้านพักตากอากาศและการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ระยะยาวมากยิ่งขึ้น เช่น ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ในเมียนมา ส่งผลให้ผู้ที่มีกำลังซื้อในเมียนมา หันมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยมากขึ้น ปัจจัยด้านราคาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศในเอเชียหลายประเทศ เช่น ไต้หวัน ปรับตัวสูงขึ้น ก็ส่งผลให้คนหันมาสนใจประเทศไทยแทนเช่นกัน” นายพีระพงศ์ กล่าว

สำหรับท็อป 3 สัญชาติที่เข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยของออริจิ้น สูงที่สุดในช่วงครึ่งปีแรกปี 2567 ได้แก่ 1.รัสเซีย มียอดขายสูงเนื่องจากบริษัทเปิดโครงการใหม่ในภูเก็ต ซึ่งเป็นแถบที่ชาวรัสเซียให้ความสนใจหลายโครงการ 2.เมียนมา โดยมียอดขายเติบโตสูงถึง 880% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 3.จีน โดยทั้ง 3 สัญชาติรวมกันครองสัดส่วนยอดขายมากกว่า 64% ของยอดขาย 2,500 ล้านบาท ขณะที่ไต้หวันและฮ่องกง ครองอันดับ 4 และอันดับ 5

ส่วนโครงการที่มียอดขายจากต่างชาติในระดับท็อป ได้แก่ 1.โซ ออริจิ้น บางเทา บีช (SO Origin Bangtao Beach) โครงการใหม่ในภูเก็ตที่เพิ่งเปิดตัวในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ 2.พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ (Park Origin Thonglor) โครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรีใจกลางเมือง และ 3.โซโห แบงค็อก รัชดา (SOHO Bangkok Ratchada) อีกหนึ่งโครงการในทำเลซึ่งเป็นที่นิยมสำหรับชาวต่างชาติ

นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 บริษัทฯ มีแผนเดินสายโรดโชว์เพื่อขยายตลาดลูกค้าต่างชาติไปสู่ตลาดใหม่ๆ เช่น อินเดีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ทั้งในดูไบ และอาบูดาบี เนื่องจากอินเดียมีดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจเติบโตมากที่สุดในเอเชียในระดับที่อาจจะแซงจีน ขณะที่ UAE เป็นประเทศปลอดภาษี จึงมีกลุ่มนักลงทุนที่มีกำลังซื้อสูงจากหลายสัญชาติรวมตัวอยู่จำนวนมาก ขณะเดียวกัน บริษัทจะยังคงเดินหน้าทำงานร่วมกับ Key Agent เพื่อรักษาฐานการเติบโตของตลาดไต้หวัน ฮ่องกง และจีน ควบคู่กันไปด้วย

นอกจากนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าเปิดรับเอเจนท์ใหม่อีกจำนวนมาก พร้อมทั้งมีแรงจูงใจเป็น Exclusive Reward มอบให้แก่เอเจนท์ที่มียอดขายสูงสุดเพิ่มเติม สำหรับผู้ที่สนใจเป็นส่วนหนึ่งกับ Origin Agent Club ลงทะเบียนได้ที่ https://oriurl.com/yy2f7s2e หรือสอบถามโทร. 1498

ทั้งนี้ แนวโน้มทำเลที่ยังน่าจะได้รับความสนใจจากตลาดต่างชาติ ยังคงเป็นทำเลที่ตั้งอยู่ในเขตเมือง เดินทางได้สะดวก ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว สีน้ำเงิน สีเหลือง และสีส้ม มีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการครบครัน ใกล้ห้างสรรพสินค้า ใกล้แหล่งอาคารสำนักงาน โรงเรียน และโรงพยาบาล รวมถึงหัวเมืองท่องเที่ยวอย่างภูเก็ต ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง

โดยบริษัทฯ ยังเตรียมนำเสนอโครงการใหม่ๆ ในกลุ่มทำเลดังกล่าวเพิ่มเติม เพื่อตอบโจทย์ชาวต่างชาติ อาทิ ออริจิ้น เพลส เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ (Origin Place Taopoon Interchange) คอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ ออริจิ้น เพลส เซ็นเตอร์ ภูเก็ต (Origin Place Centre Phuket) และ โซ ออริจิ้น กะตะ-ภูเก็ต (SO Origin Kata-Phuket) โครงการเปิดตัวใหม่ในภูเก็ต คาดว่าภาพรวมทั้งปี บริษัทฯ จะมียอดขายจากตลาดต่างชาติมากกว่า 5,000 ล้านบาทตามเป้าหมาย

สำหรับ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย
1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 158 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2567) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin), โซ ออริจิ้น (So Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ออริจิ้น เพลส (Origin Place), ดิ ออริจิ้น (The Origin), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton), ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (Britania) รวมมูลค่าโครงการกว่า 247,795 ล้านบาท

2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก

3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจให้บริการลูกบ้าน ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์

4.ธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) กลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจด้านการเงิน ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร

Back to top button