BCPG บุ๊กพิเศษขาย “โซลาร์ฟาร์มญี่ปุ่น” – ค่าใช้จ่ายลด ดันกำไร Q2 โต 5 เท่าตัว

BCPG รายงานงบไตรมาส 2/67 แตะ 1.2 พันล้านบาท โต 518% รับขายโซลาร์ฟาร์มญี่่ปุ่น 9 โครงการ กำลังผลิตรวม 116.8 เมกะวัตต์ เป็นผลให้รับรู้กำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนสุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวน 2,158.8 ล้านบาท รวมถึงค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง


บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 และงวด 6 เดือนของปีนี้ มีกำไรสุทธิ ดังนี้

สำหรับ BCPG รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/67 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,243.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 518.27% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 201.12 ล้านบาท เป็นผลมาจากบริษัทฯ มีส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงาน (หลังหักค่าตัดจำหน่าย) จากโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศฟิลิปปินส์อยู่ที่ 8.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 162.2 จากไตรมาส 2/2566 เป็นผลมาจากปริมาณจำหน่ายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 41.1 จากไตรมาส 2/2566 เป็นผลจากความเร็วลมที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน

อีกทั้งกลุ่มบริษัทฯ มีส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติในประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 362.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2,909.6 จากไตรมาส 2/2566

รวมถึงรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเต็มไตรมาส โดยในปีที่ผ่านมา มีการเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนขนาดตามสัดส่วนการถือหุ้น 151 เมกะวัตต์ ในเดือน มีนาคม 2566 และการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่เหลือ คือ ขนาดตามสัดส่วนการถือหุ้น 426 เมกะวัตต์ และ 280 เมกะวัตต์ ในเดือนกรกฎาคม 2566 และ ในเดือนตุลาคม 2566 ตามลำดับ

นอกจากนี้รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม (หลังหักค่าตัดจำหน่ายและไม่รวมรายการพิเศษ) อยู่ที่ 363.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1,725.3 จากไตรมาส 2/2566 ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้น จากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติในประเทศสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น

ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารไม่รวมรายการพิเศษอยู่ที่ 149.7 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6.7 จากไตรมาสที่ 2/2566 จาก ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรและค่าที่ปรึกษาลดลง

ส่วนบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 9.1 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากกำไรจากการป้องกันความเสี่ยงของเงินลงทุนสุทธิของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น

ทั้งนี้ บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการจำหน่ายกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น ทั้งหมด 9 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้้งรวม 116.8 เมกะวัตต์ (ขนาดกำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวม 89.7 เมกะวัตต์)

รวมถึงบริษัทย่อยในประเทศญี่ปุ่นซึ่งดำเนินธุรกิจให้บริการบริหารจัดการสินทรัพย์ (Asset Management) และการให้บริการเดินเครื่องและบำรุงรักษา (Operation & Maintenance) โดยการจำหน่ายไปซึ่งหุ้นสามัญในบริษัทย่อยและเงินลงทุน รวมมูลค่าซื้อขาย 10,377 ล้านบาท เป็นผลให้กลุ่มบริษัทฯ รับรู้กำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนสุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวน 2,158.8 ล้านบาท

นายนิวัติ อดิเรก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ สำหรับงวดไตรมาส 2 ปี 67 มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,084 ล้านบาท ทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน  โดยการรับรู้รายได้เต็มไตรมาสของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในสปป. ลาวที่กลับมาดำเนินการตั้งแต่เดือนมิถุนายน 66 และโครงการคลังน้ำมันและท่าเทียบเรือที่กลุ่มบริษัทฯ ได้เข้าซื้อกิจการตั้งแต่เดือนมิถุนายน 66 ช่วยปิดผลกระทบจากการสิ้นสุดการได้รับค่าไฟฟ้าส่วนเพิ่ม (adder) ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยและมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,243 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 518 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสาเหตุหลักมาจากบันทึกกำไรจากการจำหน่ายไปซึ่งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมดในประเทศญี่ปุ่นในไตรมาสที่ 2

ขณะที่ผลประกอบการในช่วง 6 เดือนแรกของปี 67 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,684 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 136 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการบันทึกรายการกำไรจากการจำหน่ายสินทรัพย์ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นทั้งหมด

“สำหรับไตรมาส 2 ปี 2567 การดำเนินงานเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ทั้งเรื่องของรายได้ส่วนเพิ่มที่มาชดเชย adder ที่หมดลง รวมถึง บริษัทฯ สามารถปิดดีลจำหน่ายโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมดในประเทศญี่ปุ่น จำนวน 9 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 117 เมกะวัตต์ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อนำเงินสดที่ได้ไปลงทุนและพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่ได้ผลตอบแทนสูงต่อไป” นายนิวัติ กล่าว

โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด 1,959 เมกะวัตต์ โดยเปิดดำเนินการขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) เรียบร้อยแล้ว 1,183 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างพัฒนา 776 เมกะวัตต์

Back to top button