PACO โชว์กำไรไตรมาส 2 โต 88% แตะ 44.82 ล้าน เคาะปันผล 0.05 บ.
PACO รายงานกำไรไตรมาส 2/67 เติบโต 88% แตะ 44.82 ล้านบาท ขานรับอานิสงส์ยอดขายเพิ่มขึ้น พ่วงการจัดการต้นทุนที่ดีหนุน พร้อมปันผลหุ้นละ 0.05 บาท ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 16 ส.ค. กำหนดจ่าย 4 ก.ย.67
นายสมชาย เลิศขจรกิตติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ บริษัท เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PACO เปิดเผยว่า บริษัทได้ประกาศผลประกอบการทางการเงินที่แข็งแกร่งสำหรับไตรมาสที่ 2/2567 โดยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากในหลายตัวชี้วัดทางการเงิน ซึ่งการเติบโตนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลยุทธ์ภายในและสภาพเศรษฐกิจภายนอกที่เป็นใจ นอกจากนี้ PACO ยังได้สร้างความประทับใจให้กับผู้ถือหุ้นด้วยการประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลครั้งที่ 1 สำหรับปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.05 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ ผลประกอบการทางการเงินของ PACO สำหรับไตรมาสที่ 2/2567 จะแสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยได้รับการสนับสนุนจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น การจัดการต้นทุนที่ดีขึ้น และการขยายตลาดเชิงกลยุทธ์ ซึ่งรายได้และกำไรที่เติบโตนั้นมาจากรายได้จากการขาย จำนวน 522.95 เพิ่มขึ้นจาก 35.75 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.34 เนื่องจากบริษัทฯ มียอดสั่งซื้อจากลูกค้ารายใหญ่ในตลาดต่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับยอดขายในประเทศก็เพิ่มสูงขึ้นด้วยจากการขายสินค้าชนิดใหม่ให้กับลูกค้ารายใหญ่
ส่วนกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 123.85 ล้านบาท หริอคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 23.68 ของรายได้จากการขาย ขณะที่บริษัทมีกำไรสุทธิสำหรับไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้น 87.7% โดยอยู่ที่ 44.82 ล้านบาท เทียบกับ 23.88 ล้านบาทในไตรมาสที่ 2/2566 นอกจากนี้กำไรสุทธิสำหรับงวดสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2567 มีจำนวน 91.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64.03 ล้านบาทเมื่อเทียบกับ งวดก่อน หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 234.63 สาเหตุจากกำไรขั้นต้นและกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่หากกล่าวถึงประสิทธิภาพการจัดการต้นทุนนั้น บริษัทมีต้นทุนขายสำหรับงวดสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2567 มีจำนวน 399.10 ล้านบาท ลดลง 31.76 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นลดลงร้อยละ 7.37
อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการบริหารสำหรับงวดสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2567 มีจำนวน 23.64 ล้านบาท ลดลง 3.68 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นลดลงร้อยละ 13.47 ซึ่งสาเหตุเกิดในปี 2566 มีการรับรู้ผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงิน, การตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ, ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเพิ่มทุน
ขณะที่ในส่วนของ EBITDA ครึ่งปีแรก มีจำนวน 142.26 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 108.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ทั้งนี้ ปัจจัยที่เป็นตัวสนับสนุนการเติบโตของ PACO ในไตรมาสที่ 2/2567 ได้แก่
1.การขยายตลาด ซึ่ง PACO ได้ขยายส่วนแบ่งตลาดในทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ รายได้จากการขายต่างประเทศยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
2.ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ โดยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่และการกระจายความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ของ PACO มีบทบาทสำคัญ บริษัทได้ขยายการเสนอผลิตภัณฑ์ให้รวมถึงส่วนประกอบสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับโซลูชั่นยานยนต์ที่ยั่งยืน นอกจากนี้ PACO ยังได้เริ่มรับรู้รายได้เต็มรูปแบบจากการผลิตระบบปรับอากาศสำหรับเครื่องจักรการเกษตร
3.ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน PACO ได้ดำเนินการหลายโครงการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ซึ่งรวมถึงการนำเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงมาใช้และการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลงรวมถึงของเสียก็ลดลงด้วย
4.ปัจจัยเศรษฐกิจ สภาพเศรษฐกิจ เช่น ราคาวัตถุดิบที่ลดลงและอัตราแลกเปลี่ยนที่คงที่ สนับสนุนความสามารถในการทำกำไรของ PACO โดยผลกำไรอย่างมีนัยสำคัญจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งส่งผลให้ผลประกอบการทางการเงินโดยรวมดีขึ้น
นอกจากนี้เพื่อเป็นการตอบแทนผู้ถือหุ้นที่ให้การสนับสนุนบริษัทอย่างต่อเนื่อง PACO ได้ประกาศการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลครั้งที่ 1 ประจำปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.05 บาทต่อหุ้น กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 16 สิงหาคม 2567 โดยจะจ่ายในวันที่ 4 กันยายน 2567
ส่วนแนวโน้มในอนาคตฝ่ายบริหารของ PACO ยังคงมองในแง่ดีเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตของบริษัทในช่วงที่เหลือของปี 2567 การมุ่งเน้นที่การขยายตลาด นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ และความเป็นเลิศในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะผลักดันให้ผลประกอบการทางการเงินดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โครงการเชิงกลยุทธ์และสุขภาพทางการเงินที่แข็งแกร่งทำให้ PACO อยู่ในตำแหน่งที่ดีในการใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก
อีกทั้ง นายสมชาย กล่าวว่า มั่นใจในความสามารถของบริษัทในการรักษาแรงขับเคลื่อนการเติบโตและสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นผ่านการลงทุนเชิงกลยุทธ์และความพยายามในการขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง