SCGP ครึ่งหลังโตต่อ! รับดีมานด์แพ็กเกจจิ้งพุ่ง ปักธงรายได้ปีนี้โต “ดับเบิลดิจิต”

SCGP แย้มครึ่งหลังโตต่อ! รับไฮซีซั่น หนุนดีมานด์บรรจุภัณฑ์พุ่ง ปักธงรายได้ปีนี้เติบโต “ดับเบิลดิจิต” ตามกลยุทธ์เติบโตจาก M&P เพื่อเสริมแกร่งธุรกิจบรรจุภัณฑ์และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง พ่วงสยายปีกธุรกิจเฮลท์แคร์สร้าง New S-curve หลังเข้าซื้อ “วีอีเอ็ม” ฟากธุรกิจ Fajar ในอินโดฯเตรียมทุ่มงบ 2.3 หมื่นล้าน ซื้อหุ้นเพิ่ม 44.48% ดันถือ 99.70% คาดปิดดีลไตรมาส 3/67


นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 7 ส.ค.67 ว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/67 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,453.66 ล้านบาท ขณะที่งวด 6 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 3,178.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน 2,705.27 ล้านบาท

โดยในไตรมาส 2/67 บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 34,234 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเป็นผลมาจากรายได้จากการขายเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยได้แรงสนับสนุนจากอุปสงค์ที่ยังคงแข็งแกร่งของการบริโภคภายในประเทศ การปรับตัวที่ดีขึ้นของภาคส่งออกและความต้องการ สินค้าฟุ่มเฟือยตามการฟื้นตัวของความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค ส่งผลให้รายได้จากการขายรวม 6 เดือนแรกอยู่ที่ 68,182 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

ส่วนแนวโน้มธุรกิจในครึ่งปีหลังมองว่าในแง่ดีมานด์จะเติบโตต่อโดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียนเนื่องจากในช่วงไตรมาส 3/67 ปลายไตรมาส 4/67 จะเป็นช่วงจับจ่ายใช้สอย ประกอบกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐจะเป็นปัจจัยหนุนการจับจ่ายใช้สอยสินค้าบรรจุภัณฑ์มากขึ้นโดยคงเป้ารายได้ปีนี้เติบโตดับเบิลดิจิตหรือ 10% ขึ้นไป จากรายได้ปีก่อนอยู่ที่ 130,441 ล้านบาท

“สำหรับทิศทางธุรกิจในครึ่งปีหลังมีแผนที่จะปรับปรุงผลการดำเนินงานทางการเงินของ Fajar ดีขึ้น เนื่องจากงบไตรมาส 2/67 อ่อนแอ ขณะเดียวกันบริษัทมุ่งเน้นการเติบโตผ่านการ M&P โดยเฉพาะการเข้าลงทุนใน VEM-TH เข้าช่วยต่อยอดธุรกิจเฮลแคร์และได้ผลิตภัณฑ์คาร์บอนฟุตพริ้นท์ (CFPs) ที่บริษัทสามารถทำได้และสร้างความแข็งแกร่งองค์กรเพื่อมุ่งสู่ธุรกิจที่ยั่งยืน อย่างไรก็ตามปัจจัยภายนอกเศรษฐกิจโลกและอาเซียนค่อย ๆ ฟื้นตัว ขณะที่ราคาวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (RCP) ในไตรมาส 3/67 ยังปรับตัวสูงต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันความขัดแย้งสงครามในตะวันออกกลางยังต้องจับตา” นายวิชาญ กล่าวเพิ่มเติม

นายวิชาญ กล่าวอีกว่า ส่วนแผนธุรกิจปี 67 บริษัทวางงบลงทุน(CAPEX) ไว้ประมาณ 15,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการลงทุนเข้าเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ และการขยายธุรกิจปัจจุบัน โดยในครึ่งปีแรก 2567 ใช้งบลงทุนประมาณ 3,102 ล้านบาท และส่วนที่เหลือมีแผนเข้าซื้อหุ้น PT Fajar Surya Wisesa (Fajar) ธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษ ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในอินโดนีเซียเพิ่มเติมอีก 44.48% ซึ่งจะส่งผลให้ SCGP มีสัดส่วนการถือหุ้น Fajar เพิ่มขึ้นเป็น 99.7% (จาก 55.23% ในปัจจุบัน) โดยคาดว่าจะใช้เงินประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาท โดยมาจากเงินสดประมาณ 8,000 ล้านบาท และเงินกู้ประมาณ 1,5000 ล้านบาท ดอกเบี้ยประมาณ 3% โดยคาดว่าดีลนี้จะแล้วเสร็จในไตรมาส 3/67

อย่างไรก็ตามแนวโน้มผลการดำเนินงาน Fajar ในอินโดนีเซียในไตรมาส 2/67 ที่ผ่านมาธุรกิจได้รับผลกระทบจากซัพพลายมากกว่าดีมานด์ในประเทศ ประกอบกับการส่งออกสินค้ากระดาษบรรจุภัณฑ์ไปยังประเทศจีนลดลง อย่างไรก็ตามทางทีมผู้บริหารได้มีการวางแผนธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งลดต้นทุนพลังงานอีกทาง โดยคาดว่าผลการดำเนินในไตรมาส 4/67 จะกลับมาเทิร์นอะราวด์

ส่วนความคืบหน้าธุรกิจ New S-curve ภายหลังเข้าซื้อบริษัทวีอีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ VEM-TH สัดส่วนร้อยละ 90 เพื่อช่วยเสริมความแข็งแกร่ง และต่อยอดกลยุทธ์การขยายการเติบโตของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในกลุ่มวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์และอุปกรณ์ สำหรับใช้ในห้องปฏิบัติการเพื่อตอบสนองความต้องการใช้สินค้าที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการใช้สินค้าที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

โดย VEM-TH มีสายการผลิต สินค้าชิ้นส่วนสมรรถนะสูงจากการฉีดขึ้นรูปพอลิเมอร์รวม 30 สายการผลิตสามารถขยายเพิ่มเติมในอนาคต โดยมีฐานลูกค้าหลักในอุตสาหกรรม การแพทย์ การบิน ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ ซึ่งครอบคลุมตลาดในหลายประเทศ เช่น ไทย สหรัฐอเมริกา จีน และประเทศอื่นๆ ทั้งนี้จะเริ่มรวมผลประกอบการของ VEM-TH ในงบการเงินรวมตั้งแต่เดือนก.ค.67

Company Snapshot บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP

Back to top button