BCP กำไรไตรมาส 2 โต 3 เท่าตัวแตะ 1.8 พันล้าน รับรายได้เพิ่ม-บุ๊กขายโรงไฟฟ้า
BCP รายงานกำไรไตรมาส 2/67 แตะ 1.8 พันล้าน โต 298% จากปีก่อน รับรายได้ขายและบริการเพิ่มขึ้น รวมถึงบันทึกพิเศษขายโรงไฟฟ้าเข้ามาหนุน ส่งผลให้งวด 6 เดือนแรกมีกำไร 4.2 พันล้าน เติบโต 33% จากปีก่อน
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 และงวด 6 เดือนแรกของปี 67 มีกำไรสุทธิ ดังนี้
โดยกลุ่มบริษัทบางจากมีรายได้จากการขายและการให้บริการ 158,057 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากไตรมาสก่อน, และเพิ่มขึ้นมากกว่า 100% เมื่อเทียบกับช่วงปีก่อน และมี EBITDA ที่ระดับ 10,764 ล้านบาท ลดลง 30% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 62% จากปีก่อน โดยกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน ได้รับแรงกดดันจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับลดลงต่อเนื่องจากอุปสงค์ทั่วโลกถูกกกดดันภายใต้เศรษฐกิจอ่อนแอ ส่งผลให้ Operating GRM ปรับตัวลดลง ประกอบกับอัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยปรับลดลงจากการหยุดซ่อมบำรุงบำรุงตามวาระของโรงกลั่นพระโขนง
ขณะที่โรงกลั่นศรีราชา มีอัตรากำลังการผลิตสตสงสดสร้างสถิตใหม่อยู่ที่ 154.20 KBD เข้ามาช่วยหนุนอัตรากำลังการมลิตรวมของกลุ่ม อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรง หนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น ส่งผลให้กลุ่มบริษัทบางจากมี Inventory Gain 810 ล้านบาท (รวมการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ (NRV))
สำหรับกลุ่มกลุ่มธุรกิจการตลาด เนื่องด้วยบริษัทฯ มีการบริหารจัดการการจำหน่ายในช่วงการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นพระโขนง บริษัทฯ จึงได้เลือกจำหน่ายผลิตภัณฑ์และช่องทางที่มีค่าการตลาตลาดเหมาะสม ส่งผลให้ปริมาณการจำหน่ายรวมของกลุ่มธุรกิจการตลาดอ่อนตัวลงเล็กน้อย แต่มีค่าการตลาดที่ปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า
กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ แม้ว่าปริมาณการขายปรับเพิ่มขึ้นขึ้น แต่มีปัจจัยกดดันจาก Spread ระหว่างราคาขายและต้นทุนวัตถุดิบที่อ่อนตัว และกลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ มีปริมาณการจำหน่ายที่ลดลง เนื่องจากมีปริมาณการจำหน่ายน้อยกว่ากำลังกำลังผลิตตามสัญญา (Underit) ประกอบกับการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของแหล่งผลิต Statford A เป็นระยะเวลา 60 วัน
ขณะที่กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาค มีการรับรู้กำไรหลังหักภาษีจากการจำหน่ายไป ซึ่งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ใประเทศญี่ปุ่น จำนวน 9 โครงการ 2,159 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรส่วนของบริษัทใหญ่ 1,824 ล้านบาท ลดลง 25% จากไตรมาก่อน และเพิ่มขึ้นมากกว่า 100% จากปีก่อน คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.23 บาท