SCC ปักธงครึ่งหลังปี 67 ขยายมาร์จิ้นธุรกิจ “ซีเมนต์-ก่อสร้าง” ลุยลงทุนเวียดนาม

SCC ปักธงครึ่งหลังปี 67 เร่งขยายกำลังการแข่งขันธุรกิจ “ซีเมนต์-ก่อสร้าง” พร้อมเดินหน้าลงทุนธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) ในเวียดนาม หลังเศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง ตั้งเป้าสู่การเป็น “Net Zero” ภายในปี 93


นางสาวสุธาทิพ เจริญกิจ Investor Relations Specialist บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2567 ว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 2/67 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,707.93 ล้านบาท ลดลง 57% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 8,082.24 ล้านบาท

ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 128,195 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 124,630 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากรายได้การขายของ เอสซีจี เคมิคอลส์ และ เอสซีจีพี รวมไปถึงได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการกลับมาเดินเครื่องของ โรงงานระยองโอเลฟินส์ ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ครบวงจรรายใหญ่ของประเทศไทย อาทิ เม็ดพลาสติกหลักทั้ง 3 ประเภท คือ พอลิเอทิลีน พอลิโพรพิลีน และพอลิไวนิลคลอไรด์ เป็นต้น หลังหยุดดำเนินการในช่วงเดือนมีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้บริษัทมียอดขายและรายได้ปรับตัวดีขึ้น

ส่วนในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีการเติบโตในภูมิภาคอาเซียน อาทิ เวียดนาม คิดเป็นสัดส่วนการเติบโต 29% และ อินโดนีเซีย 12% หากรวมกันแล้วจะอยู่ที่ 41% ขณะที่ในไทยมีสัดส่วนการเติบโตอยู่ที่ 51% โดยสินค้าที่มีการเติบโตโดดเด่นในไตรมาสที่ 1-2 คือ ธุรกิจเคมิคอลส์ (Chemicals) คิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ 39% รองลงมา คือ SCGP packaging  อยู่ที่ 27%, ธุรกิจ Cement Green Solutions อยู่ที่ 16%, ธุรกิจ Distribution & Retail Smart Living อยู่ที่ 13% และ ธุรกิจ SCG Decor (Ceramics) อยู่ที่ 5%

นอกจากนี้ หากมองแยกตามกลุ่มธุรกิจนั้นจะพบว่ามีการเติบโตโดดเด่น อาทิ ธุรกิจซีเมนต์และการก่อสร้างและกลุ่มธุรกิจ packaging เป็นต้น โดยส่วนนี้นับเป็นกลุ่มธุรกิจที่ SCC มีการเติบโตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมาบริษัทยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนในกลุ่ม SCG Investment และ SCG Chemicals ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผลให้กับบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ด้าน นายสุคเณศ แสงสุพรรณ Investor Relations Specialist กล่าวเสริมว่า ช่วงนี้นับเป็นช่วงวัฏจักรขาลงของและส่งผลต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ ในครึ่งปีที่ผ่านแรกปรับตัวลดลง โดยเป็นผลจากค่าใช้จ่ายในกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีครบวงจรอย่าง LSP และ บริษัทมาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล (MTT) ซึ่งเป็นธุรกิจอำนวยความสะดวกของท่าเรือผลิตภัณฑ์เคมีและปิโตรเคมี ทั้งนี้หากไม่นับรวมค่าใช้จ่ายทั้ง 2 ธุรกิจบริษัทยังคงมีผลการดำเนินงานที่เป็นบวกอยู่

อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการอัพเดทความคืนหน้าโปรเจคปิโตรเคมีครบวงจรในเวียดนามอย่าง LSP Vietnam ซึ่งภายหลังการหยุดดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/2567 ระหว่างเดือนเมษายนถึงสิงหาคม 2567 ที่ผ่านมานั้น ล่าสุดบริษัทมีแผนการกลับมาเปิดทดสอบการดำเนินงานช่วงเดือนสิงหาคมไปจนถึงกันยายน 2567 และในเดือนตุลาคมนี้ บริษัทคาดการณ์ว่าจะสามารถเปิดดำเนินงานการเชิงพาณิชย์ (COD) ได้

ทั้งนี้ หากมองที่ตลาดเวียดนามจะพบว่ามีอุปสงค์ (Demand) เกี่ยวกับสินค้าเม็ดพลาสติกอยู่ประมาณ 3.5 ล้านตัน ซึ่งบริษัทมองว่าในเวียดนามนับว่ามีปัจจัยสนับสนุนให้สามารถเติบโตได้ อาทิ การขยายตัวของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) ซึ่งได้แรงหนุนจากกำลังการเติบโตของกลุ่มคนชนชั้นกลาง รวมไปถึงการเพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/67 อยู่ที่ 6.9% บ่งชี้ถึงเศรษฐกิจภายในที่มีชีวิตชีวา รวมทั้งการเติบโตสินค้าภาคการผลิตและบริการ อาทิ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเหล็ก เป็นต้น

นางสาวสุธาทิพ กล่าวอีกว่า บริษัทมีการดำเนินธุรกิจผ่านการร่วมมือกับ บริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) ตั้งเป้าเร่งพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลเพื่อเปลี่ยนขยะพลาสติกปริมาณกว่า 200,000 ตันต่อปีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้เป็นผลิตภัณฑ์หมุนเวียนที่มีมูลค่าด้วยกระบวนการรีไซเคิลเชิงกล (Mechanical Recycling) ภายในปี 2573

ส่วนทิศทางครึ่งหลังปี 2567 บริษัทมีแผนการดำเนินงานขยายสัดส่วนการแข่งขันในตลาดธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง โดยล่าสุดบริษัทได้เข้าไปลงทุนรับจ้างผลิต (OEM) Clinker grinding ในเวียดนามใต้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยบริษัทเล็งเห็นถึงทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างที่ได้กล่าวไปว่า GPD ภายในเวียดนามสิ้นสุดไตรมาส 2/2567 นั้น มีทิศทางขยายตัวประมาณ 6.9% ซึ่งยังมีศักยภาพและการเติบโต รวมไปถึงในประเทศอินโดนีเซียภายหลังการเสร็จสิ้นการเลือกตั้งบริษัทคาดการณ์ว่ารัฐบาลอาจมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของบริษัท

“บริษัทยังคงมีแผนเพิ่มประสิทธิภาพการเติบโตและการดำเนินงานผ่านการนำเทคโนโลยี และ AI เข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อการบริหารจัดการต้นทุนของบริษัท รวมไปถึงการบวนการผลิตสินค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมกันนี้ภายหลังการนำการบวกการต่างๆมาปรับใช้จะมีส่วนสำคัญให้บริษัทลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลง พร้อมมุ่งสู่เป้าหมายการเป็น “Net Zero” ภายในปี 2593 ซึ่งสอดคล้องกับแผนการดำเนินงานของบริษัท” นางสาวสุธาทิพ กล่าวทิ้งท้าย

Back to top button