JMART เด้งแรง 21% นำทีมบ.ลูก ตอบรับงบไตรมาส 2 พลิกมีกำไร 339 ล้านบาท

JMART เด้งบวก 21% นำทีม JMT- SINGER- SGC-J หลังประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/67 พลิกมีกำไร 339 ล้านบาท อานิสงส์รับรู้รายได้ดอกเบี้ยเงินซื้อลูกหนี้ พ่วงกำไรเงินให้สินเชื่อการซื้อลูกหนี้ พร้อมมีรายได้ติดตามหนี้สินหนุน ฟาก JMT เคาะแจกปันผลครึ่งปี 0.38 บาท ขึ้น XD 22 ส.ค.นี้


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (13 ส.ค.67) ราคาหุ้นกลุ่ม “เจมาร์ท” ดีดตัวขึ้นมาอย่างชัดเจน หลังรายงานผลประกอบการไตรมาส 2/67 พลิกมีกำไรเป็นส่วนใหญ่ และทิศทางที่ดีกว่านักวิเคราะห์และตลาดคาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ราคาหุ้น ณ เวลา 10:13 น. ปรับตัวขึ้น นำโดย บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 11.00 บาท บวก 1.90 บาท หรือ 20.88% สูงสุดที่ระดับ 11.30 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 9.75 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 135.42 ล้านบาท

บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 11.90 บาท บวก 2.00 บาท หรือ 20.20% สูงสุดที่ระดับ 12.10 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 10.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 229.52 ล้านบาท

บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 7.45 บาท บวก 0.95 บาท หรือ 14.62% สูงสุดที่ระดับ 7.65 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 6.80 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 49.64 ล้านบาท

บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 1.28 บาท บวก 0.16 บาท หรือ 14.29% สูงสุดที่ระดับ 1.28 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.17 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 13.52 ล้านบาท

บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 1.43 บาท บวก 0.12 บาท หรือ 9.16% สูงสุดที่ระดับ 1.45บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.35 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 0.64 ล้านบาท

โดย JMART รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/67 พลิกมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 339.71 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 611.22 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากบริษัทมีรายได้ดอกเบี้ยจากเงินซื้อลูกหนี้และกำไรจากเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้ ซึ่งเป็นรายได้จากธุรกิจบริหารหนี้ในไตรมาส 2/67 อยู่ที่ 1,079.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.40 ล้านบาท หรือ 4.80% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ในขณะที่รายได้จากการติดตามหนี้สินและบริการอื่นเพิ่มขึ้น

อีกทั้ง มีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในการร่วมค้าในไตรมาส 2/67 อยู่ 145.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.80 ล้านบาท หรือ 15.70% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมไตรมาส 2/67 อยู่ที่ 87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 643.2 ล้านบาท หรือ 115.60% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงบริษัทมีการรับรู้กำไรจากการปรับมูลค่ายุติธธรรมของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน จำนวน 166.00 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 38.80 ล้านบาท

ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกสิ้นสุด 30 มิ.ย. 67 บริษัทพลิกมีกำไรสุทธิ 575.53 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 905.95 ล้านบาท

ด้าน JMT รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/67 มีกำไรสุทธิ 366.88 ล้านบาท ลดลง 33.42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 2/67 อยู่ที่ 236.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 180.30 ล้านบาท หรือ 323.70% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุจากการจัดเก็บหนี้ด้อยคุณภาพยังไม่ได้ตามเป้าหมาย ทั้งนี้ บริษัทได้ดำเนินการปรับปรุงการติดตามหนี้ด้อยคุณภาพอย่างใกล้ชิด รวมถึงการใช้กระบวนการทางกฎหมายเพื่อติตามให้ลูกหนี้กลับมาจ่ายคืนหนี้ภายในปีนี้ นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายพนักงานที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวทางธุรกิจ

แต่บริษัทยังมีรายได้ดอกเบี้ย รายได้เงินปันผลและกำไรจากเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้ เป็นรายได้จากธุรกิจการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหาร และดอกเบี้ยรับจากเงินให้กู้ยืมให้กับกิจการร่วมค้า ในไตรมาส 2/67 รวมเท่ากับ 1,161.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72.60 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 6.70% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกัน

ส่วนผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 785.14 ล้านบาท ลดลง 21.80% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,004.07 ล้านบาท

นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค. 67 ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 67 เป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.38 บาท โดยวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 22 ส.ค. 67 และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 5 ก.ย.67

ขณะที่ SGC รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/67 พลิกมีกำไรสุทธิ 38.08 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 1,918.52 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 92.50 ล้านบาท ลดลง 96.50% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 2,643.60 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 2/2566 บริษัทได้ตัดหนี้สูญกลุ่มลูกหนี้ด้อยคุณภาพของสัญญาเช่าซื้อที่บริษัทได้ติดตามทวงถาม และพิจารณาว่าเป็นลูกหนี้ที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ และได้ตั้งประมาณการค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับความเสี่ยงด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากลูกหนี้ ซึ่งเป็นผลจากการสิ้นสุดโครงการให้ความช่วยเหลือจากผลกระทบของโควิด-19 นอกจากนั้นบริษัทยังมีนโยบายการติดตามหนี้เชิงรุกมากขึ้น

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก บริษัทพลิกมีกำไรสทธิ 55.99 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 2,286.87 ล้านบาท

ส่วน SINGER รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/67 พลิกมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 28.42 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 2,395.98 ล้านบาท โดยบริษัทมีต้นทุนขายลดลงเหลือ 117 ล้านบาท ลดลง 601 ล้านบาท หรือ 83.70% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีต้นทุนขายมากถึง 718 ล้านบาท เนื่องจากในระหว่างปีบริษัทได้มีการกลับรายการตั้งสำรองค่าเผื่อการปรับลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือ

ขณะเดียวกันบริษัทมีผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของกลุ่มบริษัทในไตรมาส 2/67 เหลือ 100 ล้านบาท ลดลง 2,814 ล้านบาท หรือ 96.60% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนด้านเครดิตมากถึง 2,914 ล้านบาท เนื่องจากการลดลงของพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า จากการที่บริษัทย่อยมีนโยบายในการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้น ส่งผลให้ยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ของสัญญาเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าลดลง ประกอบกับในไตรมาสที่ 2/66 มีการตั้งประมาณการค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ของกลุ่มลูกหนี้สินเชื่อเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ออกจากโครงการให้ความช่วยเหลือ จากผลกระทบของโรคติดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่สามารถจ่ายชำระหนี้ได้ตามกำหนด

ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก บริษัทพลิกมีกำไรสุทธิ 48.59 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 3,239.34 ล้านบาท

ด้าน นายสุพจน์ สิริกุลภัสสร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร J เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/67 มีกำไรสุทธิ 134.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 151.40 ล้านบาท หรือ 885.40% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้จากการขายและบริการรวมอยู่ที่ 154.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.30% สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานของบริษัทสำหรับงวด 6 เดือน กำไรสุทธิ 140.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 2,500%

ทั้งนี้ ไตรมาส 2/67 ที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดดำเนินการเปิดศูนย์การค้าจากคอมมูนิตี้มอลล์ใหม่ของบริษัท JAS Green Village ประเวศ ทำให้มีกำไรสุทธิจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ขณะที่รายได้จากการขายและบริการรวมอยู่ที่ 297.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.10% สาเหตุจากรายได้ค่าเช่าและรายได้ค่าบริการของกลุ่มของธุรกิจศูนย์การค้า โดยเฉพาะการเปิดศูนย์การค้า JAS Green Village บางบัวทอง ในช่วงไตรมาส 3/2566 ซึ่งทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้เพิ่มเติมในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา

Back to top button