SICT เปิดกำไร Q2 แตะ 41 ล้านบาท โต 12% รับยอดขาย Animal ID พุ่ง

SICT รายงานงบไตรมาส 2/67 กำไรแตะ 41 ล้านบาท โต 12% กวาดรายได้แตะ 200 ล้านบาท รับรายได้จากกลุ่มลงทะเบียนสัตว์เพิ่มขึ้น


บริษัท ซิลิคอน คราฟท์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SICT ผู้ออกแบบและจำหน่ายไมโครชิพอัจฉริยะสัญชาติไทย หนึ่งเดียวในตลาดหุ้นไทย ที่ได้รับความไว้วางใจจากหลากหลายประเทศทั่วโลก รายงานผลประกอบการสำหรับไตรมาสที่ 2/2567 ด้วยรายได้จำนวน 202.9 ล้านบาท เติบโต 18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิจำนวน 41.5 ล้านบาท เติบโต 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์กลุ่มระบบลงทะเบียนสัตว์ซึ่งมีสัดส่วนรายได้มากที่สุดของบริษัทไตรมาสนี้แสดงการเติบโตได้อย่างโดดเด่น ทำสถิติยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All time high) ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท

สำหรับรายได้รวมของบริษัทในไตรมาสที่ 2/2567 เติบโตนำโดยรายได้จากกลุ่มลงทะเบียนสัตว์ โดยทำรายได้เพิ่มมากขึ้นถึง 66% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 10% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีสัดส่วนคิดเป็น 61% ของรายได้รวมในไตรมาสนี้ เนื่องจากการเติบโตของยอดขายจากกลุ่มลูกค้าหลักในทวีปยุโรปซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของตลาดระบบลงทะเบียนสัตว์ อันเนื่องมาจากความคืบหน้าเรื่องการบังคับใช้ป้ายทะเบียนสัตว์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Identification tag) ในกลุ่มแกะและแพะเพิ่มเติมในประเทศออสเตรเลีย และจากการที่รัฐบาลในหลายรัฐของประเทศออสเตรเลียมีการสนับสนุนทั้งด้านเงินทุนและส่วนลดสำหรับการใช้ป้ายทะเบียนสัตว์อิเล็กทรอนิกส์และการติดตั้งระบบต่างๆที่เกี่ยวข้องให้แก่ผู้ประกอบการ

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนการใช้ป้ายทะเบียนสัตว์อิเล็กทรอนิกส์เพิ่มเติมในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา (USDA) ล่าสุดได้ผ่านกฎระเบียบการบังคับใช้ป้ายทะเบียนสัตว์อิเล็กทรอนิกส์ในวัวและไบซัน โดยมีกำหนดจะนำไปสู่การประกาศบังคับใช้อย่างเป็นทางการในช่วงปลายปีนี้

ในส่วนของกลุ่ม IoT ในภาคอุตสาหกรรมมีรายได้เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งยังคงมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากกลุ่มลูกค้าในทวีปเอเชีย และสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์ใหม่ (SIC73F1: wafer cassette tracking chip) ที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยกลุ่ม IoT นี้มีสัดส่วนรายได้เป็น 31% ของรายได้รวมในไตรมาสนี้ กลุ่มระบบกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ ปรับตัวลดลง 56% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากการชะลอตัวของรายได้จากลูกค้าหลักในยุโรปและสหรัฐอเมริกา โดยเห็นสัญญาณหดตัวทั้งภาคอุตสาหกรรม โดยกลุ่มนี้มีสัดส่วนเป็น 8% ของรายได้รวมในไตรมาสที่ 2/2567 และกลุ่ม NFC และอื่นๆลดลง 98% โดยกลุ่มนี้คิดเป็นสัดส่วน 0.04% ของรายได้รวม

ด้านสินค้าคงคลังของบริษัทได้มีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากสิ้นปี 2566 เนื่องจากการทยอยส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าตามแผนงานขายของบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าหลักในกลุ่มระบบลงทะเบียนสัตว์ (Animal ID) ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าระดับสินค้าคงคลังจะค่อยๆทยอยลดลงปรับเข้าสู่ระดับปกติตามเป้าหมายที่ได้วางไว้  ในส่วนของอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) ได้ปรับตัวลดลงเหลือเพียง 0.38 เท่าจากการทยอยชำระคืนหนี้จากสถาบันการเงิน สะท้อนถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท และความสามารถในการก่อหนี้สินเพิ่มเติมเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต

ทั้งนี้ บริษัทยังมุ่งมั่นลงทุนในงานวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีแผนงานในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Industrial IoT  กลุ่ม NFC ในส่วนของ NFC Sensor และ NFC for luxury brand protection ซึ่งคาดว่ากลุ่มของผลิตภัณฑ์ข้างต้น จะมีส่วนช่วยสนับสนุนการเติบโตรายได้และเพิ่มอัตรากำไรของบริษัทอย่างชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้และในปีถัดๆไป

นอกจากด้านผลประกอบการที่เติบโตอย่างต่อเนื่องแล้ว บริษัทยังคงเน้นย้ำความสำคัญด้าน ESG ซึ่งยังคงมุ่งมั่นและผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสร้างความยั่งยืน ลดผลกระทบจากการดำเนินงานต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน โดยล่าสุด บริษัทได้รับเกียรติจากสถาบันไทยพัฒน์ ให้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน (พ.ศ.2566-2567) โดยได้ผ่านการคัดเลือกจาก 920 หลักทรัพย์จดทะเบียนให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลในกลุ่มเทคโนโลยี โดยบริษัทเป็นหนึ่งในสองหลักทรัพย์จดทะเบียน จากกลุ่มเทคโนโลยีทั้งหมดจำนวน 23 หลักทรัพย์ในตลาด mai

Back to top button