“กลุ่มเจมาร์ท” งวด 6 เดือนพลิกกำไร 1.61 พันลบ. ปักธงปีนี้ผลงาน “เทิร์นอะราวด์”

“กลุ่มเจมาร์ท” เปิดงบไตรมาส 2/67 พลิกมีกำไรสุทธิ 907 ล้านบาท ดันงวด 6 เดือนแรกพลิกมีกำไร 1.61 พันล้านบาท พร้อมกับกลุ่มยังคงดำเนินธุรกิจภายใต้การดำเนินงานร่วมกัน โดยมี 6 สายธุรกิจหลัก ที่เน้นการประกอบธุรกิจหลักในธุรกิจค้าปลีก และการเงิน ด้วยเทคโนโลยี ปักธงปีนี้ผลงานเทิร์นอะราวด์ตามนัด


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (13 ส.ค.67) ราคาหุ้นกลุ่ม “เจมาร์ท” เด้งแรงยกแผง ตอบรับงบการเงินไตรมาส 2 และงวด 6 เดือนแรก สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2567 ออกมาเติบโตแข็งแกร่งดีกว่านักวิเคราะห์และตลาดคาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ราคาหุ้นของบริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART พบว่า ราคาปิดชนซีลลิ่งมาปิดที่ระดับ 11.90 บาท บวกไป 2.80 บาท หรือขึ้นไป 30.77% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 395.25 ล้านบาท

เช่นเดียวกับ บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ราคาปิดชนซีลลิ่งมาปิดที่ระดับ 12.90 บาท บวกไป 3.00 บาท หรือขึ้นไป 30.30% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย  903.78 ล้านบาท  ตามด้วย บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER ราคาปิดที่ระดับ 8.20 บาท บวกไป 1.70 บาท หรือขึ้นไป 26.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 380.59 ล้านบาท

รวมถึง บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC ราคาปิดที่ระดับ 1.41 บาท บวกไป 0.29 บาท หรือขึ้นไป 25.89% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 180.57 ล้านบาท และ บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J ราคาปิดที่ระดับ 1.65 บาท บวกไป 0.34 บาท หรือขึ้นไป 25.95% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 22.95 ล้านบาท ตามลำดับ

ส่วนรายละเอียดงบการเงินไตรมาส 2/2567 และงวด 6 เดือนแรกของปี 2567 ของกลุ่ม “เจมาร์ท” มีดังนี้

สำหรับบมจ.เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (JMART) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2567 พลิกมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 339.71 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 611.22 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากบริษัทมีรายได้ดอกเบี้ยจากเงินซื้อลูกหนี้ และกำไรจากเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้ ซึ่งเป็นรายได้จากธุรกิจบริหารหนี้ในไตรมาส 2/2567 อยู่ที่ 1,079.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.40 ล้านบาท หรือ 4.80% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เป็นผลจากรายได้จากการติดตามหนี้สินและบริการอื่นเพิ่มขึ้น

อีกทั้งมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในการร่วมค้าในไตรมาส 2/2567 อยู่ 145.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.80 ล้านบาท หรือ 15.70% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมไตรมาส 2/2567 อยู่ที่ 87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 643.20 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 115.60% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

รวมถึงบริษัทมีการรับรู้กำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรม ของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน จำนวน 166.00 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 38.80 ล้านบาท

ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2567 บริษัทพลิกมีกำไรสุทธิ 575.53 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ  905.95 ล้านบาท

ส่วน บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) บริษัทรายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/2567 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2567 มีกำไรสุทธิ 366.88 ล้านบาท ลดลง 33.42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 551.00 ล้านบาท เนื่องมาจากบริษัทฯ มีผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 2/2567 อยู่ที่ 236.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 180.30 ล้านบาท หรือ 323.70% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเพียง 55.70 ล้านบาท สาเหตุจากการจัดเก็บหนี้ด้อยคุณภาพยังไม่ได้ตามเป้าหมาย ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงการติดตามหนี้ด้อยคุณภาพอย่างใกล้ชิด รวมถึงการใช้กระบวนการทางกฎหมายเพื่อติดตามให้ลูกหนี้กลับมาจำยคืนหนี้ภายในปีนี้ นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายพนักงานที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวทางธุรกิจ

อย่างไรก็ดี บริษัทยังมีรายได้ดอกเบี้ย รายได้เงินปันผล และกำไรจากเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้ เป็นรายได้จากธุรกิจการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหาร และดอกเบี้ยรับจากเงินให้กู้ยืมให้กับกิจการร่วมค้า ในไตรมาส 2/2567 รวมเท่ากับ 1,161.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกัน

ส่วนผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก สิ้นสุด วันที่ 30 มิถุนายน 2567 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 785.14  ล้านบาท ลดลง 21.80% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,004.07 ล้านบาท

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค. 67 ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 67 เป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.38 บาท โดยวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 22 ส.ค.67 และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 5 ก.ย.67

ขณะที่ บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2567 พลิกมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 28.42 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 2,395.98 ล้านบาท โดยบริษัทมีต้นทุนขายลดลงเหลือ 117 ล้านบาท ลดลง 601 ล้านบาท หรือ 83.70% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีต้นทุนขายมากถึง 718 ล้านบาท เนื่องจากในระหว่างปีบริษัทได้มีการกลับรายการตั้งสำรองค่าเผื่อการปรับลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือ

ขณะเดียวกันบริษัทมีผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของกลุ่มบริษัทในไตรมาส 2/2567 เหลือ 100 ล้านบาท ลดลง 2,814 ล้านบาท หรือ 96.60% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนด้านเครดิตมากถึง 2,914 ล้านบาท เนื่องจากการลดลงของพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า จากการที่บริษัทย่อยมีนโยบายในการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้น ส่งผลให้ยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ของสัญญาเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าลดลงประกอบกับในไตรมาสที่ 2 ปี 2566 มีการตั้งประมาณการค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของกลุ่มลูกหนี้สินเชื่อเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ออกจากโครงการให้ความช่วยเหลือจากผลกระทบของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา-19 ที่ไม่สามารถจ่ายชำระหนี้ได้ตามกำหนด

ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน แรกสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายาม 2567 บริษัทพลิกมีกำไรสุทธิ 48.59 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 3,239.34 ล้านบาท

ส่วนบมจ.เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (SGC) รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/2567 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2567 พลิกมีกำไรสุทธิ 38.08 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 1,918.52 ล้านบาท

โดยไตรมาส 2/67 พลิกมีกำไรสุทธิเนื่องจากบริษัทมีผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 92.50 ล้านบาท ลดลง 96.50% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 2,643.60 ล้านบาท  เนื่องจากในไตรมาส 2/2566 บริษัทได้ตัดหนี้สูญกลุ่มลูกหนี้ด้อยคุณภาพของสัญญาเช่าซื้อที่บริษัทได้ติดตำมทวงถามและพิจารณาว่าเป็นลูกหนี้ที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ และได้ตั้งประมาณการค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเพื่อให้สอดคล้องกับความเสี่ยงด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากลูกหนี้ ซึ่งเป็นผลจากการสิ้นสุดโครงการให้ความช่วยเหลือจากผลกระทบของ COVID-19 นอกจากนั้นบริษัทยังมีนโยบายการติดตามหนี้เชิงรุกมากขึ้น

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2567 พลิกมีกำไรสุทธิ 55.99 ล้านบาท  จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 2,286.87 ล้านบาท

บมจ.เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) (J) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2567 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 134.30 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 17.12 ล้านบาท เป็นผลจากรายได้จากการขายและบริการรวมอยู่ที่ 154.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.30% สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ

ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 2567 มีกำไรสุทธิ 140.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,519.40% จากงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 5.36 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดดำเนินการเปิดศูนย์การค้าจากคอมมูนิตี้มอลล์ใหม่ของบริษัทฯ Jas Green Village ประเวศ ทำให้มีกำไรสุทธิจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ขณะที่ รายได้จากการขายและบริการรวมอยู่ที่ 297.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.1% สาเหตุจากรายได้ค่าเช่าและรายได้ค่าบริการของกลุ่มของธุรกิจศูนย์การค้า โดยเฉพาะการเปิดศูนย์การค้า JAS Green Village บางบัวทอง ในช่วงไตรมาส 3/2566 ซึ่งทำให้บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้เพิ่มเติมในช่วง 6 เดือน ที่ผ่านมา

ด้านนายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ มีกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 2/2567 พลิกมีกำไรสุทธิ 340 ล้านบาท และงวด 6 เดือนแรกนปี 2567 พลิกมีกำไรสุทธิ 576 ล้านบาท เนื่องจากในครึ่งปีแรกไม่มีรายการผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากสินทรัพย์ทางการเงินอื่น และไม่มีส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทร่วม สะท้อนการฟื้นตัวอย่างชัดเจนของ SINGER และ SGC ที่ไม่มีการตั้งสำรองก้อนใหญ่แล้ว ขณะที่ธุรกิจใหม่เทคโนโลยี Locked Phone สามารถสร้างการเติบโตได้ตามที่วางไว้ ภายใต้การควบคุมความเสี่ยงที่รัดกุม

สำหรับรายได้รวมประจำไตรมาส 2 ปี 2567 อยู่ที่ 3,282 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 17.10 ล้านบาท และงวด 6 เดือนแรกอยู่ที่ 6,857 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 214.2 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.2 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

อย่างไรก็ดี ผลการดำเนินงานที่เติบโตขึ้น แม้ภายใต้เศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อธุรกิจสินค้าเทคโนโลยี ภายใต้ บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด และธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ ภายใต้การดำเนินงานของ JMT บริษัทยังคงมองทิศทางครึ่งปีหลังจะเติบโตกว่าครึ่งปีแรก โดย JMT ยังคงตั้งเป้าหมายในการจัดเก็บกระแสเงินสดให้เพิ่มขึ้น ด้วยการติดตามลูกค้าอย่างใกล้ชิด และเพิ่มกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งคาดว่า ECL จะทยอยลดลงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 และ 4 นี้ และคาดจะเห็นผลยอดจัดเก็บกลับเข้ามาอย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ในส่วนของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้การดำเนินงานของ J ประสบความสำเร็จในการเปิดศูนย์การค้า JAS Green Village ประเวศ เป็นแห่งที่ 7 ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สนับสนุนกำไรเติบโตก้าวกระโดด และคาดจะเปิดอีก 1 แห่งภายในไตรมาส 3 ปีนี้

 “ผลการดำเนินงานที่ประกาศออกมาพลิกกลับมาเป็นบวกต่อเนื่อง 4 ไตรมาส ยอดรวมกำไร 4 ไตรมาสล่าสุด รวมกันแล้วมากกว่า 1 พันล้านบาท สามารถพิสูจน์ว่า เราเดินตามแผน แก้เกม และกลยุทธ์การเติบโตที่วางไว้จะค่อยๆ ส่งกำไรกลับมาให้บริษัทอย่างแข็งแกร่ง บริษัทในกลุ่มบริหารหนี้ของ JMT แต่ทิศทางจะดีขึ้นในครึ่งปีหลังและปีหน้า พัฒนาการที่ดีขึ้นของ SINGER และ SGC โดยเรายังชูสินเชื่อ SG Finance+ ผลักดันแคมเปญ Locked Phone เป็นดาวดวงใหม่อีกดวง อย่างไรก็ดี สำหรับสุกี้ ตี๋น้อย ยังคงเป็นบริษัทที่ส่งกำไรกลับมาให้ JMART ในไตรมาสนี้อย่างแข็งแรง” นายอดิศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทเจมาร์ท ยังคงดำเนินธุรกิจภายใต้การดำเนินงานร่วมกันของกลุ่มบริษัทย่อยและร่วม โดยมี 6 สายธุรกิจหลัก ที่เน้นการประกอบธุรกิจหลักในธุรกิจค้าปลีก และการเงิน ด้วยเทคโนโลยี ปักธงปีนี้ผลงานเทิร์นอะราวด์ตามนัด พร้อมกับฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ในการชำระคืนหุ้นกู้ได้ตามกำหนดแน่นอน

นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMT เปิดเผยว่า ภาพรวมการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารในปีนี้ ตั้งเป้างบซื้อหนี้ในครึ่งปีหลังอีก 1,500 – 2,000 ล้านบาท ในกลุ่มหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน อาทิ กลุ่มบัตรเครดิต หนี้สินเชื่อรถยนต์ และสินเชื่อส่วนบุคคล ด้วย Yield IRR 12% จาก ณ สิ้นไตรมาส 2/2567 JMT สามารถจบดีล ซื้อหนี้ได้เท่ากับ 535 ล้านบาท

ส่วนบล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ต่อ JMT คาดผลประกอบการไตรมาส 3/2567 ฟื้นตัวจากไตรมาส 2/2567 เนื่องจากมองภาพรวมของความสามารถในการจัดเก็บหนี้ด้อยคุณภาพจะดีขึ้นเล็กน้อยจากการเร่งดำเนินคดีตามนโยบายของบริษัท ขณะที่ยังลดลงจากงวดเดียวของปีก่อนอ่อนแอตามสภาพเศรษฐกิจ โดยคาดว่าจะเห็นแนวโน้มการประมูลซื้อหนี้ที่มากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 จากการที่สถาบันการเงินนำหนี้ออกมาประมูลขายมากขึ้น

โดยเบื้องต้นคงประมาณการกำไรสุทธิ 2567 อยู่ที่ 1,579 ล้านบาท ลดลง 21% จากงวดเดียวของปีก่อน เนื่องจากกำไรสุทธิในครึ่งแรกปี 2567 คิดเป็น 50% ของประมาณการทั้งปี อย่างไรก็ดี รอฟังข้อมูลเพิ่มเติมจากการประชุมนักวิเคราะห์เพื่อทบทวนประมาณการอีกครั้งหนึ่ง ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 67 เดิม 18.60 บาท อิง PBV ที่ 1.0 เท่า

Back to top button