OSP งบครึ่งแรกปี 67 กำไรแตะ 1.43 พันลบ. โต 8% บอร์ดเคาะปันผล 0.30 บาท

OSP โชว์งบครึ่งปีแรกของปี 2567 กำไรสุทธิ 1,433 ล้านบาท เติบโต 7.9% เคาะประกาศจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.30 บาทต่อหุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD 29 ส.ค.นี้ พร้อมเดินหน้าผลักดันการเติบโตตามแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว  


นางสาวรติพร ราษฎร์เจริญ Group Chief Financial Officer บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2567 บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ จากการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวที่มุ่งเน้นการสร้างความแข็งแกร่งและขยายการเติบโตให้กับธุรกิจหลัก (Core Business)  การใช้กลยุทธ์ความหลากหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ (Brand Portfolio) และการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ (Premiumization) เพื่อรองรับตลาดที่แบ่งเป็นสองราคา

นอกจากนี้ โอสถสภายังเดินหน้าขยายฐานกลุ่มผู้บริโภคไปยังกลุ่มใหม่ๆ ที่มีอัตราการเติบโตสูง ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ “เอ็ม-150” ที่ออกผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังในรูปแบบใหม่ เจาะกลุ่มลูกค้าที่กว้างขวางยิ่งขึ้น อาทิ กลุ่มพนักงานออฟฟิศ หรือกลุ่มคนทั่วไปผู้มีไลฟ์สไตล์ชื่นชอบการทำกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงาน ส่งผลให้กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกไตรมาส

โดยในไตรมาส 2/2567 มีอัตราการเติบโตของรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในประเทศ 4.0% จากงวดเดียวของปีก่อน และยังคงเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังด้วยส่วนแบ่งการตลาดรวม 46.4% โดยมีแบรนด์ “เอ็ม-150” ครองแชมป์อันดับ 1 อย่างแข็งแกร่ง เช่นเดียวกันกับตลาดเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์ที่โอสถสภาครองแชมป์อันดับหนึ่งด้วยส่วนแบ่งการตลาด 45.9% เติบโต 3.8% จากงวดเดียวของปีก่อน และ 3.0% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของวิตามินซี  แบรนด์ “ซี-วิท” มีการเติบโตอย่างโดดเด่นด้วยส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 74.4% เติบโต 6.9% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ด้านรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในต่างประเทศเติบโต 32.5% จากงวดเดียวของปีก่อน โดยปัจจัยหลักมาจากยอดขายที่เติบโตในเมียนมาร์และลาว

ด้านกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล  มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 26.3% จากงวดเดียวของปีก่อน และ 18.2% จากไตรมาสก่อน จากการนำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค  สานต่อความสำเร็จจากการเป็นผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์สบู่เหลวอาบน้ำเด็กด้วยส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ติดต่อกัน 8 ปีซ้อน (2559-2566)   เพื่อก้าวสู่ผู้นำตลาดเพอร์ซันนัลแคร์และโฮมแคร์ในอนาคต

โดยล่าสุดได้ออกแบรนด์ผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้ชื่อ “Babi Mild & Beyond” ที่ถือเป็นการขยายพอร์ตโฟลิโอเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่นอกเหนือไปจากเดิมที่มุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กเพียงอย่างเดียว โดยออกสินค้าใหม่ผสานนวัตกรรม “พรีไบโอติก” ตอบรับเทรนด์สุขภาพ รองรับความต้องการผู้บริโภคที่ครอบคลุมทุกคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงวัย เสริมด้วยเครือข่ายกระจายสินค้าและการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง ทำให้สามารถครองใจและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าครอบคลุมทุกเซกเมนต์

นางสาวรติพร กล่าวอีกว่า โอสถสภาเสริมสร้างความเป็นผู้นำตลาดที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ จากการเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังพรีเมียมหรือกลุ่มราคา 12 บาท และสร้างตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังราคา 10 บาท ‘เอ็มน้ำผึ้ง’ ให้ยั่งยืน พร้อมบริหารกลยุทธ์การตลาดที่ “ถูกจุด ตรงใจ ในที่ที่ใช่” เพื่อผลักดันการเติบโตของผลิตภัณฑ์ใหม่ ‘M-150 SPARKLING’ หรือ ‘มิโซซ่า’ ผ่านการใช้กลยุทธ์ไอดอล มาร์เก็ตติ้ง (Idol Marketing) ที่มีไลฟ์สไตล์สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายมาร่วมเป็นพรีเซนเตอร์ เพื่อเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ Gen Z และ Millennial จนได้รับผลตอบรับที่เกินความคาดหมาย

ในขณะที่กลุ่มเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์อย่าง ‘เปปทีน’ ‘เปปทีน ดริ๊งค์ดี’ และ ‘ซี-วิท’ ก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากทุกช่องทางการจัดจำหน่าย ความสำเร็จของผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2567 ที่ผ่านมา จึงเป็นเครื่องยืนยันว่าโอสถสภาสามารถขับเคลื่อนการเติบโตได้ตามแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวที่วางเอาไว้

ทั้งนี้เพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจและการลงทุนใหม่ๆ ที่จะส่งเสริมให้ธุรกิจหลัก (Core Business) เติบโตตามแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวและสอดคล้องกับเป้าหมายการเติบโต 5 ปีของโอสถสภา  บริษัทฯ ได้พิจารณาจำหน่ายเงินลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก (Non-Core Business) รวมถึงเงินลงทุนที่โอสถสภามีสัดส่วนการถือหุ้นส่วนน้อยหรือไม่มีอำนาจควบคุม

อย่างไรก็ตาม สถานะทางการเงินของโอสถสภายังคงแข็งแกร่งด้วยสัดส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นในระดับต่ำที่ 0.01 เท่า สะท้อนความพร้อมในการเปิดรับโอกาสการลงทุนเพื่อรองรับการเติบโตทางธุรกิจ สร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจหลักและผลักดันการเติบโตด้านใหม่ในอนาคต โดยในครึ่งปีหลังโอสถสภามีแผนที่จะนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ต่อยอดการเติบโต พร้อมกับออกนวัตกรรมสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค

“โอสถสภาพร้อมเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจด้วยการนำเสนอสินค้านวัตกรรม เพิ่มอัตรากำไร ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ตลอดจนเร่งการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่จะช่วยต่อยอดธุรกิจหลักเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ส่งมอบผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวแก่ผู้ถือหุ้น และมุ่งสู่เป้าหมายการเป็นพลังเพื่อชีวิตที่ยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย” นางสาวรติพร กล่าว

นอกจากนี้บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค. 2567 ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2567 เป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท โดยวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) 29 ส.ค. 2567 กำหมดวันที่จ่ายปันผลวันที่ 13 ก.ย. 2567  

 

Back to top button