SAWAD ดีด 8% รับกำไร Q2 โต 9% แตะ 1.32 พันลบ. โบรกชูเป้าสูง 40 บาท

SAWAD เด้งบวก 8% ขานรับกำไรไตรมาส 2/67 เติบโต 9% แตะ 1.32 พันล้านบาท หลังรับรู้รายได้ดอกเบี้ย-เงินปันผล มองครึ่งปีหลังสดใส เน้นธุรกิจสินเชื่อมีหลักประกันและนายหน้าประกัน ตั้งเป้าสิ้นปีเพิ่มสาขาศรีสวัสดิ์ แตะ 5.6 พันสาขา ฟากโบรกแนะนำถือราคาเป้าหมาย 40 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (16 ส.ค.67) ราคาหุ้น บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD เปิดตลาด ณ เวลา 11:04 น. อยู่ที่ 30.00 บาท บวก 2.25 บาท หรือ 8.11% สูงสุดที่ระดับ 30.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 28.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 138.20 ล้านบาท

นางสาวธิดา แก้วบุตตา ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์องค์กร SAWAD เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/67 ของบริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิรวม 1,320.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,222.79 ล้านบาท โดยบริษัทมีรายได้ดอกเบี้ยราว 4,662.27 ล้านบาท เงินปันผลและรายได้อื่นราว 665.98 ล้านบาท รวมรายได้อยู่ที่ 5,328.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดบการเติบโตรายได้และกำไรขยายตัวเล็กน้อยท่ามกลางปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ความต้องการสินเชื่อในไตรมาสที่ 2 ขยายตัวโดดเด่นที่สุดในช่วงเดือนพฤษภาคม

ขณะที่ ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก มีกำไรสุทธิรวม 2,598.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,543.67 ล้านบาท โดยบริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 10,740.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.64% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทมีพอร์ตสินเชื่อคงค้างในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ระดับ 99,746 ล้านบาท ส่วนครึ่งแรกของปี 67 บริษัทได้ดำเนินการปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ที่มาจากนโยบายการช่วยเหลือลูกค้าให้ดีขึ้นและแก้ปัญหาภาวะขาดทุนจากรถยึด เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาวแก่บริษัทและช่วยควบคุมระดับเอ็นพีแอลให้เป็นไปตามกรอบนโยบายของบริษัท

“เราเชื่อว่าสถานการณ์ขาดทุนจากการขายรถยึดได้ผ่านจุดต่ำสุดของปีนี้ไปแล้ว ครึ่งปีหลังจะเป็นครึ่งปีที่เติบโตดีขึ้น ศรีสวัสดิ์จะเน้นโฟกัสธุรกิจหลักคือสินเชื่อที่มีหลักประกัน และเพิ่มขนาดธุรกิจนายหน้าประกัน โดยที่บริษัทได้พัฒนาแอปพลิเคชันให้สามารถกดซื้อผ่านออนไลน์ และซื้อผ่านสาขาที่พนักงานสามารถคำนวณเบี้ยประกันจากพันธมิตรชั้นนำได้อย่างเหมาะสม คาดว่าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจนี้จะเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังได้เร่งขยายสาขาเพื่อรองรับความต้องการสินเชื่อและการเติบโตในอนาคต จบสิ้นปีนี้ศรีสวัสดิ์จะมีสาขาทั้งหมด 5,600 สาขาโดยประมาณ” นางสาวธิดา กล่าว

ส่วนด้านสภาพคล่องจากการออกหุ้นกู้ บริษัทมั่นใจสถานะทางการเงินว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง เพราะด้วยลักษณะของธุรกิจทำให้มีกระแสเงินสดในแต่ละวันหมุนเวียนเข้าบริษัทฯอย่างมาก พร้อมชำระหุ้นกู้ได้ตลอดเวลา ประกอบบริษัทฯมีพันธมิตรรายใหญ่ในอุตสาหกรรมการเงินจากไต้หวันที่พร้อมสนับสนุนการดำเนินงานเครือศรีสวัสดิ์ จึงยิ่งทำให้สถานะการเงินของบริษัทฯมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ทำให้บริษัทฯสามารถชำระคืนได้ตรงตามกำหนดเสมอมา

รวมทั้ง บริษัทได้ประเมินความเหมาะสมในการระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นกู้ให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจ เพื่อลดภาระต้นทุนทางการเงิน บริษัทคาดว่าต้นทุนทางการเงินจะลดลงอย่างต่อเนื่องจากภาวะดอกเบี้ยขาลง หลังจากธนาคารกลางสหรัฐมี

แนวโน้มประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในช่วงเดือนกันยายน ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนในช่วงครึ่งหลังของปี 67 ในการบริหารธุรกิจให้เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้

บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์คงประมาณการตัวเลขการเติบโตของกำไรสุทธิปี 67-69 ของไว้ที่ 12.10% แต่อาจปรับประมาณการหลังการประชุมนักวิเคราะห์ในวันที่ 16 ส.ค. 67 ทั้งนี้คงคำแนะนำ “ถือ” ที่ราคาเป้าหมายปี 67 ที่ 40 บาท คิดเป็นค่า P/BV อยู่ที่ 1.72 เท่า ภายใต้สมมติฐานค่า LT ROE ที่ 18.10% และ COE ที่ 12.60%

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  ระบุในบทวิเคราะห์ปรับลดประมาณการและราคาพื้นฐานถึงแม้จะคาดว่าสินเชื่อในครึ่งปีหลังจะเร่งตัวขึ้น แต่สินเชื่อช่วงครึ่งปีแรกโตต่ำกว่าคาดมาก ทำให้ทางฝ่ายปรับลดประมาณการการปล่อยสินเชื่อปี 67 ลง ส่งผลให้ประมาณการกำไรลดลงด้วยเหลือ 5.2 พันล้านบาท ยังเพิ่มขึ้นจำกปีก่อน 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้แนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับลดราคาพื้นฐานลงด้วยเหลือ 38 บาท

นอกจากนี้ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 2/67 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,265 ล้านบาท ใกล้เคียงกับฝ่ายนักวิเคราะห์และตลาดคาดการณ์กำไรเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมาจากรายได้ดอกเบี้ย (NII) เพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทรงตัว จากไตรมาสก่อนหน้าคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 2% จากต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) จากสินเชื่อจำนำทะเบียน

ขณะที่ กำไรทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า เพราะค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ลดลง 7% จากไตรมาสก่อนหน้าจากขาดทุนรถยึด ชดเชยกับค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) เพิ่มขึ้น 11% จากไตรมาสก่อนหน้า เพราะ NPL Ratio เพิ่มที่ 3.41% จากไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 3.23% จากความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ส่วนกำไรสุทธิครึ่งปีแรก คิดเป็น 50% ของกำไรสุทธิทั้งปี 2024 ที่คาดการณ์อยู่ที่ 5,015 ล้านบาท ทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ฝ่ายนักวิเคราะห์ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 26 บาท

Back to top button