NOBLE กวาดกำไร Q2 แตะ 124 ล้านบาท ตุนแบ็กล็อกแน่น 2.1 หมื่นลบ. ทยอยรับรู้ถึงปี 70
NOBLE รายงานงบไตรมาส 2/67 กำไรแตะ 124 ล้านบาท โต 11% เดินเกมรุกเร่งตุนยอดขายรอโอนต่อเนื่อง หลังตุนแบ็กล็อกมูลค่า 2.1 หมื่นล้านบาท จ่อทยอยรับรู้ถึงปี 2570
นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการที่อยู่อาศัยในทำเลชั้นนำของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 แม้ว่ากำลังซื้อภายในประเทศจะชะลอตัว หนี้ครัวเรือนจะเพิ่มขึ้น ภาวะดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับที่สูง สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ แต่บริษัทฯ ยังสามารถดำเนินงานได้ตามแผนงานที่วางไว้ ซึ่งสะท้อนถึงงบไตรมาส 2/2567
โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมที่ 2,640 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และมีกำไรสุทธิที่ 124 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% (YoY) จึงส่งผลให้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวมที่ 4,425 ล้าน และมีกำไรสุทธิที่ 203 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10 % (YoY) โดยสาเหตุที่ผลประกอบการเติบโตขึ้น มาจากการส่งมอบยอดขายรอโอน (Backlog) ที่มีอยู่ในมือ ซึ่งในไตรมาส 2/2567 มีโครงการสร้างเสร็จใหม่ ได้แก่ โครงการ Nue Connex Condo Don Mueang (นิว คอนเน็กซ์ คอนโด ดอนเมือง)
สำหรับโครงการไฮไลท์ที่สร้างยอดโอนกรรมสิทธิ์ให้บริษัทฯ มาจาก 2 โครงการที่ทยอยโอนกรรมสิทธิ์เป็นหลักในช่วงครึ่งปีแรก ได้แก่, 1.โครงการ Nue Noble Ratchada Lat-Phrao (นิว โนเบิล รัชดา ลาดพร้าว) เป็นโครงการร่วมทุน มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 1,800 ล้านบาท และสามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้แล้ว 1,700 ล้านบาท และ 2.โครงการ Nue Connex Condo Don Mueang (นิว คอนเน็กซ์ คอนโด ดอนเมือง) ที่เพิ่งสร้างเสร็จและเริ่มมีการโอนกรรมสิทธิ์ ในไตรมาส 2/2567 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่โอนกรรมสิทธิ์ต่อเนื่องอื่นๆ เช่น โครงการ Noble Around Ari (โนเบิล อราวน์ อารีย์), โครงการ Noble State 39 (โนเบิล สเตท 39) และโครงการ Nue Noble Fai Chai – Wang Lang (นิว โนเบิล ไฟฉาย-วังหลัง) รวมถึงโครงการแนวราบอื่นๆ
ขณะที่ยอดขาย (Presale) ช่วงครึ่งแรกของปี 2567 (มกราคม-มิถุนายน 2567) บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้ที่ 5,600 ล้านบาท หลักๆ มาจากยอดขายจากลูกค้าต่างชาติที่เติบโตสูง โดยครึ่งปีแรกบริษัทฯ มีสัดส่วนยอดขายจากลูกค้าต่างชาติสูงเฉลี่ย 60% ของยอดขายทั้งหมด ส่งผลให้บริษัทฯ วางกลยุทธ์ขยายตลาดโดยเฉพาะตลาดต่างชาติ เพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นสอดรับกับการเพิ่มโอกาสในการขายที่อยู่อาศัยของบริษัทฯ ซึ่งในปี 2563 บริษัทฯ มียอดขายจากลูกค้าต่างชาติที่ 1,800 ล้านบาท
ขณะที่ในปี 2566 ยอดขายต่างชาติเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 5,300 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตมากกว่า 2 เท่าตัว ส่วนในไตรมาส 1/2567 บริษัทฯ มียอดขายต่างชาติที่ 2,200 ล้านบาท และในไตรมาส 2/2567 บริษัทฯ มียอดขายต่างชาติที่ 1,100 ล้านบาท
“สำหรับโครงการที่สร้างยอดขายได้ดีในช่วงครึ่งปีแรก คือ โครงการ The Embassy Wireless (ดิ เอ็มบาสซี ไวร์เลส) ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับกลุ่ม “ฮ่องกงแลนด์” โดยโครงการดังกล่าวมียอดขายจากลูกค้าต่างชาติสูง นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัวโครงการใหม่ ทั้งนี้ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทฯ มีการเปิดตัวโครงการใหม่แล้ว จำนวน 2 โครงการ เป็นโครงการแนวราบประเภทบ้านเดี่ยว ประกอบด้วย 1.โครงการ Noble Norse Krungthep Kreetha (โนเบิล นอร์ส กรุงเทพกรีฑา) และ 2.โครงการ Nue Shade Ratchaphruek – Chaengwattana (นิว เฌด ราชพฤกษ์ – แจ้งวัฒนะ) ซึ่งแต่ละโครงการมีกระแสตอบรับที่ดี
สำหรับทิศทางธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังของบริษัทฯ ยังคงเดินหน้าตามแผนที่วางไว้ โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 บริษัทฯ มียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือรวมมูลค่าประมาณ 21,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 กว่า 6,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีกกว่า15,000 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ถึงปี 2570 ขณะเดียวกันบริษัทฯ มีสินค้าพร้อมขาย (สต็อก) ในมืออีกมาก ซึ่งเพียงพอสำหรับรองรับความต้องการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หากต้องมีการพัฒนาพื้นที่นั่นๆ บริษัทฯ ก็พร้อมดำเนินการได้ทันที
“ตลาดอสังหาฯ ช่วงครึ่งปีหลังนี้ โดยเฉพาะสินค้าในระดับต่ำกว่า 5 ล้านบาทมีแนวโน้มชะลอตัว ส่วนสินค้าในระดับราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าหลักของ NOBLE ยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่กลุ่มดังกล่าวเกิดการชะลอการตัดสินใจซื้อ ทั้งนี้ ลูกค้ากลุ่มนี้เป็นลูกค้าที่มีกำลังซื้ออยู่แล้ว เพียงแค่รอจังหวะเวลาในการซื้อ ซึ่งหากราคาและสินค้าตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า กลุ่มดังกล่าวก็จะตัดสินใจซื้อทันที ส่วนการแข่งขันของตลาดอสังหาฯ ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯ มองว่ายังคงมีการแข่งขันที่สูง อาทิ การออกแคมเปญทางการตลาด การออกโปรโมชั่นจากกลุ่มผู้ประกอบการ เพื่อกระตุ้นยอดขาย ซึ่งจังหวะนี้ถือเป็นโอกาสสำหรับคนที่มีกำลังซื้อ และหากมีมาตรการลดดอกเบี้ยลง ก็น่าจะทำให้การตัดสินใจซื้อดีขึ้นด้วย” นายธงชัย กล่าว