“สภาพัฒน์” เปิดตัวเลข GDP ไทยไตรมาส 2 โต 2.3%

“สภาพัฒน์” รายงานตัวเลข GDP ไทยไตรมาส 2/67 เติบโต 2.3% เร่งตัวจากไตรมาส 1/67 ที่เติบโตเพียง 1.60% ชี้ครึ่งปีแรกโต 1.90% ขณะที่มองทั้งปีเศรษฐกิจไทยอาจขยายตัว 2.30-2.80%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ส.ค.67) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) โดย นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สศช. ได้แถลงข่าวเรื่อง “รายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 และแนวโน้มปี 2567” ณ ห้องประชุม 521 อาคาร 5 ชั้น 2 สศช.

นายดนุชา เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ขยายตัว 2.3% เร่งขึ้นจากการขยายตัวที่ 1.6% ในไตรมาสแรกของปี 67 และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยไตรมาสสอง ขยายตัวจากไตรมาสแรก 0.8% รวมครึ่งแรกของปี 2567 เศรษฐกิจไทยขยายตัว 1.9%

โดยเศรษฐกิจไทยได้รับอานิสงค์จาการบริโภคเอกชนที่ขยายตัว 4% การบริโภคภาครัฐบาลขยายตัวได้ 0.3% การส่งออกที่ขยายตัวได้ในไตรมาสนี้ขยายตัวได้ 1.9% และบริการ 19.8% แต่การลงทุนรวมยังหดตัวอยู่ติดลบ 6.2% และภาคเกษตรของไทยที่ติดลบ 1.1% เป็นผลมาจากการผลิตสินค้าเกษตรที่ลดลงหลายชนิด ขณะที่กลุ่มก่อสร้างติดลบ 5.5%

นายดนุชา กล่าวอีกว่า ขณะที่เสถียรภาพทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 ยังอยู่ในระดับมั่นคง โดยอัตราการว่างงานอยู่ที่ 1.07% สูงกว่า 1.01% ในไตรมาสก่อนและสูงกว่า 1.06% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 0.7% และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ 0.4% ด้านดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. หรือ 93.7 พันล้านบาท และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2567 มีมูลค่าทั้งสิ้น 11.54 ล้านล้านบาท คิดเป็น 63.5% ของ GDP

ทั้งนี้ ปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ประกอบด้วย การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว การขยายตัวในเกณฑ์ดีของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ การเพิ่มขึ้นของแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ การกลับมาขยายตัวอย่างช้า ๆ ของการส่งออกสินค้าตามการฟื้นตัวของการค้าโลก ขณะที่ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในเกณฑ์สูงและมาตรฐานสินเชื่อที่มีความเข้มงวด การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการโลก

นายดนุชา กล่าวถึงนโยบายเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ตว่า จะต้องดูว่านายกฯและรัฐบาลจะดำเนินการอย่างไร มีการปรับเปลี่ยนโครงการหรือไม่ ซึ่งหากรัฐบาลยังคงเดินหน้าต่อ ในเรื่องของเงื่อนไขโครงการเดิม จะมี 2 เรื่องที่น่ากังวล คือ ในเรื่องแหล่งที่มาของเงิน จากงบประมาณปี 67 ที่มีการใช้จ่ายแล้ว และงบประมาณปี 68 ที่จะเข้ามาวันที่ 1 ตุลาคมนี้ ซึ่งจะต้องดูว่ามีผลกระทบอย่างไรบ้าง และอีกหนึ่งเรื่องคือ ระบบของการใช้จ่ายเงิน ซึ่งเรื่องนี้คงต้องมีการพูดคุยกันในระดับนโยบาย และสอบถามความคิดเห็นของภาคส่วนต่างๆ

“ หากรัฐบาลไม่ดำเนินการโครงการดิจิทัลวอลเล็ตตาอ รัฐบาลจะต้องมีมาตรการอื่นเข้ามาพยุงเศรษฐกิจ โดยเฉพาะช่วยเหลือประชาชนกลุ่มรายได้น้อย ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลจะต้องมีมาตรการเข้ามาช่วยเหลือประชาชนอย่างน้อย 1 มาตรการ แต่ทั้งนี้ในส่วนของมาตรการที่รัฐบาลจะออกมา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น รัฐบาลจะ ต้องดูทรัพยากรที่มีเครื่องมือรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้เกิดการทำงานได้เร็วขึ้น”  นายดนุชา กล่าว

เมื่อถามว่าถ้ารัฐบาลไม่เดินหน้าโครงการดิจิทัล วอลเล็ตจะส่งผลกระทบต่องบประมาณปี 67 และปี 68 ที่มีการจัดสรรงบประมาณไว้แล้วหรือไม่ นายดนุชา กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่ารัฐบาลจะทำหรือไม่ทำ เพราะฉะนั้นเรื่องงบประมาณก็เป็นการเตรียมการมาจากรัฐบาลก่อนหน้านี้ ก็ต้องมาดูว่ารัฐบาลน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะมีนโยบายอย่างไร ซึ่งอันนี้ต้องพูดคุยกันในรายละเอียด เมื่อถามว่า น.ส.แพทองธารระบุว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปต้องรับฟังข้อมูลเพิ่มเติม ในมุมของสภาพัฒน์ฯหากมีข้อมูลเพิ่มเติมรัฐบาลบ้าง นายดนุชา กล่าวว่า ตัวสถานการณ์ต่างๆมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความรุนแรงมากขึ้น ส่วนการลงทุนในประเทศเริ่มมีผลกระทบ เพราะฉะนั้นตนคิดว่าในช่วงถัดไปการลงทุนของภาครัฐยังเป็นส่วนสำคัญทางเศรษฐกิจ ดังนั้นคงต้องมาพิจารณาอีกครั้งว่าเราจะดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะไหน

นายดนุชา กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจจะต้องดูช่วงเวลาและทรัพยากรที่มี ซึ่งส่วนหนึ่งจะต้องมีมาตรการออกมาช่วงแรก และจะต้องใช้งบประมาณปริมาณหนึ่ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และจะต้องดูด้วยว่าในช่วงถัดไปมีผลกระทบจากภายนอกอย่างไรหรือไม่ เพราะทรัพยากรที่มีจำกัดรัฐบาลจำเป็นที่จะต้องหารือกันในส่วนหน่วยงานเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกระทรวงการคลังและแบงค์ชาติที่ต้องหารือกับรัฐบาลด้วย ส่วนรัฐบาลจะดำเนินการอย่างไรนั้นยังไม่สามารถพูดได้ เนื่องจากขณะนี้ รัฐบาลยังไม่ได้มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา

ขณะที่ มาตรการแก้ปัญหาหนี้เสีย จะต้องพูดคุยกันในระดับนโยบาย ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงคลัง โดยจะหามาตรการแบบมุ่งเป้ามากขึ้น ซึ่งได้มีการพูดคุยกันในระดับหนึ่งแล้ว และต้องรอความชัดเจนอีกไม่นาน

Back to top button