BAM บวก 9% โบรกอัพคำแนะนำ “ซื้อ” เป้า 2.80 บ. รับยีลด์สูง 6% – ซื้อหนี้บริหารถูกลง
BAM บวก 9% โบรกอัพคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้า 5.80 บาท อานิสงส์ซื้อสินทรัพย์ในราคาถูกลง และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 6% พร้อมคาดแนวโน้มจัดเก็บ “เงินสด” ครึ่งปีหลังอยู่ที่ 8.5-9 พันล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (19 ส.ค.67) ราคาหุ้น บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ณ เวลา 11:11 น. อยู่ที่ระดับ 7.45 บาท บวก 0.65 บาท หรือ 9.56% สูงสุดที่ระดับ 7.60 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 6.90 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 92.89 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ถึง BAM รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/67 อยู่ที่ 456 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาสก่อนหน้าและ เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนดีกว่าประมาณการตลาดรวมของ อยู่ที่ 5% ในขณะที่กำไรสุทธิในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 880 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% ซึ่งคิดเป็น 46% ของประมาณการกำไรเต็มปีของฝ่ายนักวิเคราะห์
ทั้งนี้ นอกจากกำไรจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ยอดเก็บเงินสดยังเพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่ลดลง 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่เพิ่มขึ้นเพียง 2% ในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 7.5 พันล้านบาท โดยคิดเป็น 38% ของเป้าปีนี้ของบริษัท
นอกจานี้ ด้านซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของบริษัทนั้นอยู่ในราคาที่ถูกลง โดยบริษัทใช้เงิน 4.5 พันล้านบาทซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของธนาคารเข้ามาในไตรมาส 2/67 อยู่ที่ 5.7 พันล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรก โดยมีสัญญาณบวกจากการแข่งขันที่ลดลง ซึ่งทำให้ราคาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ซื้อมาได้อยู่ในระดับต่ำที่ 35% ของราคาประเมินจากประมาณ 43% ในไตรมาส 1/67 และ 46% ในไตรมาส 2/66 ทั้งนี้ หลังจากที่ซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพไปแล้ว 5.7 พันล้านบาทในครึ่งปีแรก บริษัทคาดการณ์ว่าจะการขายสินทรัพย์จากธนาคารผู้ขายจะไม่คึกคักในไตรมาส 2/67 เพราะราคาไม่ดี
นอกจากนี้ จากยอดเก็บเงินสดในครึ่งปีแรกที่เพิ่มขึ้นเพียง 2% อยู่ที่ 7.5 พันล้านบาท ฝ่ายนักวิเคราะห์มองแนวโน้มเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าทำให้ยอดเก็บเงินสดฟื้นตัวช้าตามไปด้วยในครึ่งปีหลัง ดังนั้น คาดการณ์ว่ายอดเก็บเงินในครึ่งปีหลังนี้จะอยู่ที่ประมาณ 8.5-9 พันล้านบาท ซึ่งจะทำให้ยอดเก็บเงินสดเต็มปีอยู่ที่ 1.6-1.65 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าเป้าของบริษัทที่ 2 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ ฝ่ายนักวิเคราะห์ปรับลดกำไรปี 2567 ลดลงเหลือ 4% ส่วนปี 2568 ลดลง 5% ขณะที่ยังปรับเพิ่มคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายใหม่ 5.80 บาท เพื่อสะท้อนถึงถึงปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ 1.ราคาหุ้นที่ถูก PBV ที่ 0.4 เท่า PE ที่ 11 เท่า ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 6% 2.การซื้อสินทรัพย์ได้ในราคาที่ถูกลงซึ่งจะให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นในอนาคต และ 3.การที่บริษัทไม่มีภาระทางการเงิน