MASTER มั่นใจครึ่งปีหลังสดใส รับ “ไฮซีซั่น” ปักหมุดรายได้ปี 67 โต 20%
MASTER มั่นใจครึ่งปีหลัง สดใส อานิสงส์ช่วง “ไฮซีซั่น” มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืน พร้อมตั้งเป้ารายได้ปี 67 เติบโต 20% และเดินหน้าเพิ่มรายได้จากลูกค้าต่างชาติ 25-30% ใน 2-3 ปี
นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER ผู้ประกอบกิจการโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช Specialty Hospital ผู้นำอุตสาหกรรมด้านความงามของประเทศไทยและเอเชีย เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดผลงานครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก ตามแนวโน้มรายได้เดือน ก.ค. โดดเด่นเมื่อเทียบปีก่อน โดยรายได้ทำสถิติสูงสุดใหม่ ตอบรับเชิงบวกจากแผนการลงโฆษณาเป็นไปตามปกติที่จะเน้นลงโฆษณาในไตรมาส 2 เช่นในปี 2566 เนื่องจากผู้ใช้บริการจะใช้เวลาในการตัดสินใจทำศัลยกรรมหลังเห็นโฆษณาประมาณ 3-6 เดือน และคาดว่าจะเห็นผลชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง
โดยสอดคล้องกับทิศทางธุรกิจของ MASTER ในช่วงครึ่งปีหลังยังมีมุมมองเชิงบวกและน่าจะเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากธุรกิจจะเริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซัน โดยเฉพาะไตรมาส 3/2567 จะมีอัตราการเติบโตมากขึ้น และปกติจะเติบโตสูงสุดของปี ดังนั้นบริษัทฯ มั่นใจรายได้ปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อน ซึ่งการเติบโตมาจากทั้งส่วนของ Organic และ Inorganic รวมถึง MASTER ยังมองการเติบโตด้วยกลยุทธ์แบบ Merger and Partnership (M&P)
นางสาวลภัสรดา กล่าวต่อว่า ทิศทางของลูกค้าต่างชาติเติบโตดีต่อเนื่อง ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 24% โดยเป็นกลุ่มลูกค้าจากประเทศจีนและอินโดนีเซีย ซึ่งรายได้จากต่างชาติเป็นหนึ่งใน Key growth ในระยะยาว ทำให้ MASTER คาดว่าสัดส่วนรายได้ต่างประเทศจะเพิ่มเป็น 25-30% ใน 2-3 ปีข้างหน้า
สำหรับปัจจุบันกลุ่ม MASTER มีจำนวนแพทย์ให้บริการ 47 ท่าน และหากรวมกับพาร์ทเนอร์ที่ร่วมลงทุนจะทำให้บริษัทฯ มีแพทย์ 149 ท่าน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้ใช้บริการทุกช่วงวัย ขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดความงามที่มีศักยภาพสูง ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของบริษัทฯ และสนับสนุนต่อศักยภาพการขยายตัวของธุรกิจ
“MASTER มีการปรับกลยุทธ์การทำการตลาดทุกๆ 3 วัน เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วช่วยหนุนการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งประเมินว่าทิศทางการเติบโตต่อเนื่องไปยังแนวโน้มไตรมาส 4/2567 โดยสอดคล้องกับการขยายห้องผ่าตัดใหม่ และลูกค้าที่เข้ามาทำหัตถการอย่างต่อเนื่อง ผ่านการทำการตลาดของบริษัท ขณะที่ความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น จากการบริหาร ค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ” นางสาวลภัสรดา กล่าว