PROEN ปรับโครงสร้าง “กลุ่มธุรกิจ” ใหม่ จ่อเสร็จ Q4! ดันรายได้แกร่งอนาคต

PROEN ปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจ โฟกัสธุรกิจหลัก โยกงานรับเหมาก่อสร้างโครงการภาครัฐไปที่บริษัทย่อย จ่อขยายทีมงานการตลาด รองรับการเปิดศูนย์ "PROEN OTT DC" แห่งใหม่ คาดกระบวนการปรับโครงสร้างธุรกิจแล้วเสร็จในไตรมาส 4/67 พร้อมตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จาก Recurring income เพิ่มเป็น 75-80% ในปี 2568


นายกิตติพันธ์ ศรีบัวเอี่ยม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ PROEN ผู้ให้บริการ Data Center ชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า กลุ่ม PROEN เตรียมปรับโครงสร้างธุรกิจ เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทฯ ให้มีความมั่นคงยั่งยืนในอนาคต และตอบโจทย์การให้บริการลูกค้า ซึ่งจะมุ่งเน้นในส่วนที่เป็น Core Business หรือธุรกิจหลักเป็นสำคัญ โดยเฉพาะด้าน ICT ซึ่งเป็นรายได้หลักของบริษัท

ทั้งในส่วนการให้บริการด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร (Information Communication and Technology), การให้บริการศูนย์ข้อมูลคอมพิวเตอร์ (Internet Data Center), การให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (Internet Service Provider : ISP) และบริการคลาวด์ (Cloud Service) รวมทั้งการดูแลระบบความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security)

ส่วนกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง งานโครงการของภาครัฐ งานโครงการโทรคมนาคมและสาธารณูปโภคพื้นฐาน (Telecommunication and Infrastructure Service) จะโยกไปไว้ที่ บริษัท โปรเอ็น เทเลบิซ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เพื่อลดความซ้ำซ้อน และแบ่งแยกการดำเนินธุรกิจการให้บริการให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน บริษัทจะเพิ่มทีมงานด้านการขายและการตลาด (Sales & Marketing) อีกประมาณ 10 ทีม โดยจะเน้นการทำงานเชิงรุกในการให้บริการลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้จากทรัพย์สิน หรือ Recurring income โดยเฉพาะจากให้บริการ Internet Data Center ที่เตรียมจะเปิดศูนย์ PROEN OTT DC” แห่งใหม่บนถนนพระราม 9 – ศรีนครินทร์  ภายในไตรมาส 3/2567 ไว้รองรับกลุ่มลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ โดยตั้งเป้าว่าในปี 2568 สัดส่วนรายได้จาก Recurring income เพิ่มเป็น 75-80%

“เราเตรียมเพิ่มทีมมาร์เก็ตติ้งอีกประมาณ 10 ทีม เพื่อรองรับการเติบโตจากการขยายธุรกิจ และในเร็วๆ นี้ก็จะมีการเปิดศูนย์“PROEN OTT DC” แห่งใหม่ ซึ่งก็สอดคล้องกับการปรับโครงสร้างธุรกิจภายในกลุ่มให้มีความชัดเจน และตอบโจทย์ลูกค้า คาดว่าการปรับโครงสร้างในกลุ่มจะแล้วเสร็จในไตรมาส 4 ปีนี้” นายกิตติพันธ์ กล่าว

นายกิตติพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน บริษัทฯ มีมูลค่างานในมือ หรือ Backlog ราว 1,000 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าภายหลังการปรับโครงสร้างธุรกิจในกลุ่มในครั้งนี้ จะผลักดันให้บริษัทฯ มี Backlog เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ในอนาคตบริษัทจะมีรายได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

Back to top button