OSP ร่วง 6% เก็ง Q3 บุ๊กขาดทุน 800 ล้าน หลังขาย “ธุรกิจผลิตขวดแก้ว” เมียนมา
OSP ร่วง 6% เก็งงบไตรมาส 3/67 ขาดทุน 700-800 ล้านบาท หลังขายธุรกิจผลิตขวดแก้วในเมียนมา ขณะที่โบรกมองกำไรปี 67 เพิ่มขึ้น 36% แตะ 2.9 พันล้านบาท คงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 28 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ ( 2 ก.ย.67 ) ราคาหุ้น บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ณ เวลา 10:43 น. อยู่ที่ระดับ 21.10 บาท ลบ 1.30 บาท หรือ ลบ 5.80% สูงสุด 21.50 บาท ต่ำสุด 20.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 240.21 ล้านบาท
ทั้งนี้เนื่องมาจาก OSP เตรียมขายเงินลงทุนใน MGE Group คือ บริษัท เมียนมาร์ โกลเด้น อีเกิ้ล จำกัด (MGE) ที่บริษัทถือหุ้น 35% และ บริษัท เมียนมาร์ โกลเด้น กลาส จำกัด (MGG) ถือหุ้น 51.84% ซึ่งเป็นบริษัทร่วมค้าของ OSP โดย MGE Group ดำเนินธุรกิจให้บริการผลิตและจัดจำหน่ายขวดแก้ว (OEM) ในประเทศเมียนมา ซึ่งขายให้บริษัท Marlarmyaing Public Company Limited มูลค่า 50,000 ล้านเมียนมาร์จัต หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 1,470 ล้านบาท
ทั้งนี้ ให้บริษัทย่อยเข้าลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นแบบมีเงื่อนไขบังคับก่อนในวันที่ 30 สิงหาคม 2567 โดยจะต้องดำเนินการตามเงื่อนไขผูกพันภายใต้สัญญาดังกล่าวรวมทั้งการรับชำระเงินเพื่อให้ธุรกรรมมีผลเสร็จสิ้นสมบูรณ์ภายในปี 67 ปัจจุบันเงินลงทุนดังกล่าวมีมูลค่าเงินลงทุนคงเหลือประมาณ 136 ล้านบาท และบริษัทย่อยที่ OSP ถือหุ้น 100% มีภาระค้ำประกันเงินกู้ให้ MGE Group เป็นจำนวนประมาณ 35.8 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 15,558 ล้านเมียนมาจัต
ขณะที่ เงื่อนไขบังคับก่อนที่สำคัญก่อนทำกรายการ คือ 1. MGE Group จะไม่มีภาระผูกพันจากการกู้ยืม (Debt-free) ณ วันโอนหุ้น และ2.การจำหน่ายได้รับอนุมัติจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ การขายหุ้นใน MGE Group ซึ่งเป็นบริษัทร่วมค้าดังกล่าว เป็นไปตามกลยุทธ์การปรับโครงสร้างทางธุรกิจที่มุ่งสร้างความแข็งแรงและขยายการเติบโตให้กับธุรกิจหลัก (Core businesses) ควบคู่กับการพิจารณาผลการดำเนินงาน และการขายเงินลงทุนที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก รวมถึงธุรกิจที่บริษัทมีสัดส่วนการถือหุ้นน้อยหรือไม่มีอำนาจควบคุม ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของธุรกิจเครื่องดื่มในประเทศเมียนมา และการดำเนินงานของธุรกิจหลัก ทรัพย์สินที่ใช้ในการดำเนินงาน หรือสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจของ OSP แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้และเพิ่มอัตรากำไรจากธุรกิจหลักอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาวให้กับผู้ถือหุ้นตามแผนกลยุทธ์ระยะยาวและสอดคล้องกับเป้าหมายการเติบโต 5 ปีของ OSP
ขณะที่ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การที่ OSP เตรียมขายเงินลงทุนในธุรกิจแก้วที่เมียนมาระยะสั้นอาจรับรู้ขาดทุนราว 700-800 ล้านบาทเข้ามาในไตรมาส 3/67 ส่วนธุรกิจหลักอย่างโรงงานผลิตเครื่องดื่มในเมียนมา ซึ่งสร้างรายได้และกำไรให้กับบริษัทได้ดียังอยู่และดำเนินงานปกติ
ส่วนระยะยาวยังมองบวกต่อปี 68 หลังขายธุรกิจที่เป็น Non-core business และไม่ทำกำไรออกไป คาดการณ์กำไรสุทธิปี 67 อาจเหลือเพียง 2.1 พันล้านบาท กลายเป็น ลดลง 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนกำไรปกติปี 67 ยังคาดการณ์ไว้ตามเดิมที่ 2.9 พันลบ. เพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ยังคงราคาเป้าหมาย 28 บาท แนะนำ “ซื้อ” รอการฟื้นตัวปีหน้า