“บล.บัวหลวง” ลุ้น SET สิ้นปีทดสอบ 1,400 จุด แนะปรับพอร์ตลงทุน “ตราสารหนี้”

“บล.บัวหลวง” มอง SET สิ้นปี 67 ทดสอบ 1,400 จุด แนะปรับพอร์ตลงทุนหุ้นนอกและตราสารหนี้ เพื่อตั้งรับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ประเทศคู่ค้าไทยชะลอตัว คาดเม็ดเงินดิจิทัล-กองวายุภักษ์กว่า 1 แสนล้านบาท หนุน GDP และตลาดหุ้นฟื้นตัว


นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่ต้นปี 67 จนถึงปัจจุบัน ณ วันที่ 20 ส.ค. 67 สร้างผลงานรั้งท้ายตลาดหุ้นเอเชีย หากเปรียบเทียบผลตอบแทนบนสกุลเงินท้องถิ่น โดยให้ผลตอบแทนลดลง 6.10% เมื่อเทียบตลาดหุ้นในเอเชียที่มีผลตอบแทนสูงสองหลักขึ้นไป โดยตลาดหุ้นไต้หวันให้ผลตอบแทนสูงสุด เพิ่มขึ้น 25%, ญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 14% และเวียดนาม (ดัชนี VN30) เพิ่มขึ้น 15% ขณะที่ตลาดหุ้นจีน ลดลง 3.60%

“ตลาดหุ้นไทย Underperform ต่อเนื่อง 2 ปีติด โดยในช่วงกลางปีที่ผ่านมาดัชนีปรับตัวลดลงกว่า 10-12% หลังกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ครึ่งปีแรกออกมาขยายตัวเพียง 3% เติบโตต่ำกว่าคาดการณ์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากเป้าหมายทั้งปีที่คาดการณ์จะเติบโต 14% ซึ่งเป็นผลจากการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของภาครัฐที่เพิ่งออกมาเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา รวมทั้งรัฐบาลยังโฟกัสอยู่ที่โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเป็นหลัก ขณะที่ ยังมีปัญหาอีกหลายเรื่องที่ต้องได้รับการแก้ไขทั้งเรื่องสินค้าราคาต่ำของจีนทะลักเข้าไทย ทำให้ธุรกิจ SME ของไทยมีปัญหา” นายชัยพร กล่าว

สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทย ในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี 67 ทีมวิจัยหลักทรัพย์ฯ ได้ปรับลดเป้าหมายปลายปีนี้ลงมาที่ระดับ 1,396 จุด จากเดิมที่คาดเป้าหมายปีนี้ที่ระดับ 1,466 จุด ซื้อขายบน Forward P/E 15.60 เท่า และคาดการณ์กำไร บจ. รวมเติบโต 7.50% แม้แนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังจะได้ประโยชน์จากท่องเที่ยวและส่งออก

ขณะที่ แต่กลุ่ม Domestic ยังคงต้องพึ่งพิงอุปสงค์ (Demand) ภายในประเทศที่ฟื้นตัวได้ช้าเป็นหลัก เช่น ธุรกิจก่อสร้าง, อสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย, สื่อโฆษณา และการเงินเพื่อการบริโภค ที่ภาพรวมยังดูไม่ค่อยดี ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยง ซึ่ง บริษัทยังมองว่ากลุ่มบริษัทที่มีการปรับเป้าหมายกำไรลงมากที่สุด คือ 1.ก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง และ 2.ปิโตรเคมี โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบ คือ การที่มีคู่แข่งจากต่างประเทศส่งสินค้าเข้ามาตีตลาดมากขึ้นในไทยมากขึ้น ทั้งนี้ยังมีปัจจัยการส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศสหรัฐฯ และจีน ที่กำลังเผชิญหน้ากับภาวะเศรษฐกิจเติบโตชะลอตัว

ขณะที่ การประมาณเป้าหมายดัชนีปลายปี 67 ยังไม่ได้รวมโครงการดิจิทัลวอลเล็ตซึ่งยังต้องติดตามข่าวการปรับเปลี่ยนการแจกเป็นเงินสด คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นปลายปีนี้ เบื้องต้นมีมุมมองว่าการแจกเงินสดเป็นการเติมเงินเข้าระบบที่จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ซึ่งอาจช่วยกระตุ้นให้ GDP เพิ่มขึ้นได้ 0.30% จากที่คาดการณ์ GDP ปีนี้ที่ระดับ 2.60% อย่างไรก็ดีคาดหวังจะเห็นนโยบายอื่นๆ ของรัฐบาลออกมาเพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ

ทั้งนี้ ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามมีหลากหลายเรื่อง เช่น เรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่อาจเข้มข้นขึ้นหากพรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้งปลายปีนี้จะส่งผลให้ไทยได้รับผลกระทบด้านลบตามไปด้วย, แนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลายประเทศเติบโตแบบชะลอตัว, ความมั่นคงทางการเมืองและการดำเนินนโยบายต่อเนื่องของภาครัฐ, สงครามทั่วโลกที่ยังเป็นความเสี่ยงและความท้าทายของการเปลี่ยนแพลตฟอร์มการค้าขายสู่ระบบ AI

ส่วนเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยตอนนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 2.50% แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อต่ำและการเติบโตของเศรษฐกิจที่ยังมีความเสี่ยง แต่เราคาดการณ์ว่า กนง. อาจลดดอกเบี้ยตามหลังสหรัฐฯ ในช่วงไตรมาส 4 ปี 67 โดยคาดการณ์อีกว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับดอกเบี้ยลดลง 0.75% รวม 3 ครั้ง หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่ในช่วงของการเติบโตแบบชะลอตัว และในปี 68 มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยลงต่อขณะที่อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ค่อย ๆ สูงขึ้น

นายชัยพร กล่าวต่อว่า กลยุทธ์การลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้แนะนำจัดพอร์ตลงทุนแบบตั้งรับอย่างเต็มตัว เพื่อตั้งการ์ดรับมือกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯและหลายประเทศคู่ค้าของไทยที่เติบโตชะลอตัว รวมถึงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งอาจทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกและสินทรัพย์ต่างๆ เกิดความผันผวนได้ ล่าสุดทีมวิจัยหลักทรัพย์ฯ ได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงลงมาอยู่สัดส่วน 20% จากต้นปี 67 ที่อยู่ราว 60-80%

รวมไปถึงเพิ่มน้ำหนักการลงทุน ตราสารหนี้ ทั้งระยะสั้นและระยะยาวในสัดส่วน 80% ส่วนตลาดหุ้นเวียดนามแนะให้ลดน้ำหนักการลงทุนจาก 13% เป็น 9%, ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จาก 12% เป็น 6% ส่วนตลาดหุ้นจีนและญี่ปุ่นแนะขายไปก่อนหน้ายังไม่ให้น้ำหนักลงทุน ขณะที่หุ้นไทยให้น้ำหนักการลงทุนสัดส่วนต่ำ 2% ของพอร์ตรวม

สำหรับนักลงทุนที่ไม่มีเวลาติดตามการลงทุน แนะนำบริการจัดพอร์ต กองทุนรวมแบบอัตโนมัติ (BLS Top Funds Portfolio) เครื่องมือช่วยสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืน โดยไม่ได้ผูกติดกับ บลจ. ค่ายใดค่ายหนึ่ง แต่จะเฟ้นหากองทุนที่ดีที่สุดของสินทรัพย์เป้าหมาย โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมืออาชีพคอยดูแลจัดพอร์ตตามมุมมองและคัดเลือกกองทุนตัวท็อปให้อัตโนมัติ ปัจจุบันมีให้เลือกลงทุนทั้งหมด 3 ประเภท 6 พอร์ตการลงทุน โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาสร้างผลตอบแทนสูงสุด 7.60% สำหรับพอร์ตความเสี่ยงสูง เมื่อเทียบกับ SET ที่ ลดลง 4.72% (ตัวเลข ณ 29 ส.ค. 67) ทั้งนี้นักลงทุนที่สนใจสร้างโอกาสรับผลตอบแทนอย่างยั่งยืนสามารถสมัครบริการ BLS Top Funds Portfolio ได้ที่แอป Wealth CONNEX

“อย่างไรก็ตามการเมืองในประเทศยังคงมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นอยู่ อันเนื่องมาความไม่แน่นอนและการร้องเรียนของบรรดากลุ่มต่างๆ อย่างไรก็ดีสิ่งที่มีความแตกต่างของรัฐบาลชุดนี้กับรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน คือ การที่รัฐบาลของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีมีการร่วมมือกันผลักดันนโยบายขับเคลื่นเศรษฐกิจ พร้อมทั้งการที่มี นายทักษิณ ชินวัตร คอยให้คำปรึกษา” นายชัยพร กล่าว

ขณะที่ช่วงสิ้นเดือน ส.ค. ตัวเลขดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นเป็นผลมาจากปัจจัยในประเทศหรือไม่นั้น มองว่าอาจเป็นผลมาจากจัดตั้งนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งการที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โชว์วิสัยทัศน์เกี่ยวกับเศรษฐกิจในงาน Dinner Talk Vision for Thailand 2024 ส่งผลให้ประชาชนมองเห็นว่าควรประเทศจะมีการดำเนินไปอย่างไร ทั้งนี้ ยังคงมองว่าประเด็นการเมืองยังคงมีความเสี่ยงส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นได้

“อาจมีโอกาศเห็นดัชนี SET Index แตะ 1,400 จุด โดยทีมวิจัยหลักทรัพย์ฯ คงคาดการณ์ว่าการดำเนินกองทุนวายุภักษ์ในครั้งนี้ จะมีการระดมเงินได้ราว 1-1.5 แสนล้านบาท หรืออย่างน้อยๆ ต้องได้ประมาณ 1 แสนล้านบาท ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดได้” นายชัยพร กล่าว

อย่างไรก็ตามหาเปรียบเทียบกับการจัดตั้ง กองทุนวายุภักษ์ ในครั้งแรกนั้น มองว่า มีความแตกต่างตรงที่ในอดีตจะมีการลดอัตราภาษีนิติบุคคลของ บจ. แต่การจัดตั้งในครั้งนี้ไม่มีการลดอัตราภาษีดังกล่าว ขณะที่ ภายในประเทศยังคงต้องเผิชญปัญหาด้านโครงสร้างเศรษฐกิจ รวมทั้งมาร์เก็ตแคปตลาดหุ้นไทยปัจจุบันเติบโตกว่าในอดีตกว่า 10 เท่า ซึ่งหากนำเม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์มาเทียบยังคือว่าต่ำกว่าในอดีต

นอกจากนี้ ไทยต้องพึ่งอัตราภาคการบริโภค การส่งออกและการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตามอาจจะไม่ทำให้มีมูลค่าในการขับเคลื่อนการเติบโตได้สูง เหมือนในอดีต ซึ่งต้องหาแนวทางใหม่ อาทิ นโยบายรัฐผ่านการกระตุ้นผ่านเศรษฐกิจด้วยโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ทั้งนี้ ยังคงมองว่าอาจสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ระยะสั้นรวมถึงมองว่าการดำเนินนโยบายดังกล่าวอาจส่งผลให้ (GDP) เติบโตได้ประมาณ 0.3% อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น

Back to top button