BWG แย้มครึ่งหลังโตดี! ลุยลงทุนโรงไฟฟ้าขยะ 12 โครงการ -SRF เตรียมทยอย COD ตามแผนปี 69
BWG แย้มครึ่งปีหลังโตดี มั่นใจดันผลงานปีนี้ “เทิร์นอะราวด์” พร้อมเดินหน้าลงทุนโรงไฟฟ้าขยะ 12 โครงการ พ่วงโรงผลิต SRF มูลค่าลงทุนรวมประมาณ 2 หมื่นล้านบาท เตรียมทยอย COD ในปี 69 ตามแผน แย้มเล็งสยายปีกธุรกิจรีไซเคิลรถ EV หนุนผลงานโตต่อเนื่อง
นางสาวณัฐพรรณ เหลืองวิริยะ กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจ และสื่อสารองค์กร บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) หรือ BWGเปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง 2567 คาดการณ์ว่าจะเติบโตใกล้เคียงครึ่งปีแรกที่มีรายรวมได้รวม 1,379 ล้านบาท ตามทิศทางการรับรู้รายได้บริการกำจัดกากอุตสาหกรรมของบริษัทและบริษัทในเครือ รวมทั้งการขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกันมีแนวโน้มจากการจำหน่ายกากอุตสาหกรรมที่ใช้เป็นพลังงานเชื้อเพลิงทดแทน (SRF) ให้กับลูกค้าภายนอกกลุ่ม (ปูนซีเมนต์ไทย) มีปริมาณเพิ่มขึ้นจากเดิม เนื่องจากลูกค้ามีความต้องการนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนพลังงานหลักเพิ่มมากขึ้น และช่วยลดพื้นที่การฝังกลบขยะสู่การสร้างแหล่งเชื้อเพลิงทดแทนที่ยั่งยืนและมั่นคงตามนโยบายลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของภาครัฐ
นางสาวณัฐพรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนความคืบหน้าโครงการโรงไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม และโครงการโรงงานผลิตเชื้อเพลิงจากขยะอุตสาหกรรม ร่วมกับ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF จำนวน 12 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 96 เมกะวัตต์ มีมูลค่าเงินลงทุนรวมประมาณ 18,000 ล้านบาท แต่หากแยกออกเป็นโครงการละ 8 เมกะวัตต์ ซึ่งสามารถทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2569 ทั้งหมด และบริษัทฯยังมีโครงการโรงงานผลิตเชื้อเพลิงแข็งจากขยะอุตสาหกรรม (SRF ) จำนวน 3 โครงการ มูลค่าลงทุนประมาณ 2 พันล้านบาท มีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2569 เช่นกัน ทั้งนี้หากรวมโครงการโรงไฟฟ้าจากขยะและโรงผลิตเชื้อเพลิงบริษัทใช้เงินลงทุนไปกว่า 20,000 ล้านบาท
สำหรับโรงผลิตขยะเชื้อเพลิง SRF จำนวน 3 โรง มีกำลังผลิตรวมประมาณ 225,000 ตันต่อปี โดยป้อนให้กับ บริษัท เอิร์ธ เท็ค เอนไวรอนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ETC ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าในเครืออยู่ที่ประมาณ 160,000 ตันต่อปี เพื่อผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าตามสัญญารวม 16.5 เมกะวัตต์ ซึ่งทำให้บริษัทมีรายได้ที่มั่นคงอย่างยั่งยืน เนื่องจาก ETC มีสัญญา PPA ยาวนานถึง 20 ปี อีกทั้งในส่วนของ ETC จะเร่งเพิ่มกำลังผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าให้ได้จำนวน 100 เมกะวัตต์ในอนาคต เพื่อผลักดันให้บริษัทมีขนาดไซส์ใหญ่ยิ่งขึ้น
“การลงทุนโรงไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม 12 โครงการ คาดการณ์ว่าจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ในปี 2569 นั้น ประเมินว่าจะสามารถรับรู้รายได้โรงละประมาณ 400 ล้านบาท ซึ่งอาจส่งผลให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้ในปี 2569 อยู่ที่ 5 พันล้านบาท ขณะเดียวกันบริษัทยังมีแผนหาพันมิตรและมองหาธุรกิจเพื่อมาเสริมแกร่งบริษัทต่อเนื่อง โดยมีแผนจะรุกไปยังธุรกิจรีไซเคิลแบตเตอรี่และรถ EV ในอนาคตต่อไป” นางสาวณัฐพรรณ กล่าว
ทั้งนี้หลังจากการดำเนินธุรกรรมดังกล่าวแล้วเสร็จจะส่งผลให้กลุ่ม BWG จะมีโครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมในประเทศไทยที่ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟภ. ภายใต้รูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) เป็นจำนวนทั้งสิ้น 15 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญา 112.50 เมกะวัตต์ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของทางภาครัฐในการแก้ไขปัญหาขยะอุตสาหกรรมให้กับประเทศ
“อย่างไรก็ตามในปี 2567 มั่นใจว่าบริษัทกลับมาเทิร์นอะราวด์อย่างชัดเจน หลังจากครึ่งปีแรกพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ อีกทั้งถือว่าบริษัทได้พ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว” นางสาวณัฐพรรณ กล่าวทิ้งท้าย