AOTGA ผนึก “กรมศุลกากร” เปิดศูนย์มัลติโมดอล แย้มรายได้ปีนี้แตะ 3 พันล้านบาท

AOTGA-AOT จับมือ “กรมศุลกากร” ลุยเปิด “ศูนย์บริการศุลกากรเพื่อกระจายสินค้า” ครบวงจร มั่นใจธุรกิจเติบโต 10-15% ต่อปี มุ่งขับเคลื่อนสู่ศูนย์กลางขนส่งภูมิภาค กางแผนรายได้ปี 67 แตะ 3 พันล้านบาท


นายสิริวัฒน์ โตวชิรกุล ผู้จัดการใหญ่ บริษัท บริการภาคพื้น ท่าอากาศยานไทย จำกัด (บพท.) หรือ AOTGA ผู้ให้บริการภาคพื้นท่าอากาศยานและบริการคลังสินค้าในท่าอากาศยาน (Cargo Terminal) เปิดเผยว่า AOTGA ได้เปิดตัว “ศูนย์บริการศุลกากรเพื่อกระจายสินค้า” หรือ “Multimodal Transportation Center” ณ เขตปลอดอากร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (โซน 3) จากที่กรมศุลกากรได้อนุญาตให้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เป็นผู้จัดตั้งศูนย์บริการศุลกากรเพื่อกระจายสินค้า และ AOT ได้มอบหมายให้ บริษัท บริการภาคพื้น ท่าอากาศยานไทย จำกัด หรือ AOTGA เป็นผู้ดำเนินการศูนย์บริการศุลกากรเพื่อกระจายสินค้านั้น

โดยนับเป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญที่จะพลิกโฉมอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อนผ่านการชูจุดเด่นผนวกรูปแบบการขนส่งทุกประเภท อาทิ ทางบก, ราง, น้ำ, อากาศ, การรวมตู้สินค้าและการเก็บรักษา พร้อมดำเนินพิธีการทางศุลกากรเบ็ดเสร็จในจุดเดียว สร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจหนุนการเติบโตของ (E-Commerce) ยกระดับประเทศไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาคอย่างแท้จริง

ขณะที่ ศูนย์บริการ “Multimodal Transportation Center” สามารถรองรับปริมาณการขนส่งได้กว่า 50,000 ตันต่อปี เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์ของไทยสู่การเป็น Aviation Hub ของภูมิภาค พร้อมจับมือ 3 ยักษ์ใหญ่ ได้แก่ FedEx, DHL และ AGS

ทั้งนี้ บริษัทใช้งบลงทุนกว่า 150 ล้านบาท บนเนื้อที่กว่า 4,872 ตารางเมตร ซึ่งศูนย์มัลติโมดอลแบ่งเป็นพื้นที่ให้บริการ 2 ส่วน ได้แก่  1.Fixed Area พื้นที่สำหรับผู้ประกอบการขนส่งภาคเอกชนที่เป็นผู้ร่วมประกอบกิจการศูนย์บริการศุลกากรเพื่อกระจายสินค้า และ 2.Public Area พื้นที่ที่ทาง AOTGA ให้บริการเอง ขณะที่ตั้งเป้าให้บริการกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการขนส่งทั้งในและต่างประเทศที่เป็นตัวแทนในการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (Freight Forwarder) และผู้ประกอบการของเร่งด่วน (Express Consignment)

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มธุรกิจการขนส่งสินค้าทางอากาศที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่นจากการมุ่งเน้นใช้ประเทศไทยเป็น HUB ในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ และเวียดนาม)  และโฟกัสไปยังกลุ่มสินค้า (E-Commerce) จากปัจจัยเกื้อหนุนด้านการบินและเครือข่ายการบินที่เชื่อมโยงสู่ทวีปอื่นๆ โดยเฉพาะทวีปยุโรป นอกจากนี้ AOTGA ยังได้นำนวัตกรรมที่ทันสมัยมาให้บริการในศูนย์บริการศุลกากรเพื่อกระจายสินค้า อาทิ ระบบติดตามทางศุลกากรจากด่านศุลกากรมายังศูนย์บริการศุลกากรเพื่อกระจายสินค้าด้วยระบบกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ (E-lock System) และระบบควบคุมสินค้าคงคลัง (E-Inventory)

นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี กรมศุลกากร เผยว่า การจัดตั้ง “ศูนย์บริการศุลกากรเพื่อกระจายสินค้า” หรือ “Multimodal Transportation Center” ณ เขตปลอดอากร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (โซน 3) นี้ จัดตั้งขึ้นตามประกาศกรมศุลกากร ที่ 115/2564 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าและเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค ซึ่งนับเป็นความร่วมมือที่สร้างปรากฎการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่จะช่วยสนับสนุนกระบวนการนำเข้าและส่งออกสินค้าให้ได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

พร้อมเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขัน ช่วยลดขั้นตอนและระยะเวลาในการดำเนินพิธีการทางศุลกากร ทำให้ (Ecosystem) มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งกรมศุลกากรมีความยินดีให้การสนับสนุนภาคเอกชนและตอบสนองนโยบายรัฐบาลในการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าในระดับภูมิภาค

นอกจากนี้ ภายในงานยังได้รับเกียรติจากผู้บริหารพันธมิตรธุรกิจขนส่งชั้นนำระดับโลก ได้แก่ เฟดเอ็กซ์ คอร์ปอเรชั่น, บริษัท ดีเอชแอล โกลเบิล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ DHL และ บริษัท เอเชีย กราวด์ เซอร์วิส จำกัด หรือ AGS ร่วมเสวนาในหัวข้อ Multimodal Transportation Center – a Giant Solution to a Regional Aviation Hub

อย่างไรก็ตามภาพรวมหลังการเปิดใช้งานอย่างเต็มรูปแบบ AOTGA คาดการณ์ว่าจะสามารถสร้างรายได้ให้ในปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 80 ล้านบาท อีกทั้งคาดหวังว่าจะมีการเติบโตของธุรกิจอยู่ที่ 10-15% ต่อปี ส่วนลูกค้าที่ AOTGA ได้ทำการพูดคุยเพื่อรวมในธุรกิจบริการขนส่งนี้มีบริษัทที่สนใจเข้าร่วมแล้ว ประมาณ 10 ราย

ส่วนรายได้ของ AOTGA ที่คาดการณ์ในปีนี้ ณ สิ้น เดือนกันยายน อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการให้บริการภาคพื้นดินอยู่ 2,500 ล้านบาท และบริการทำความสะอาด อาทิ ห้องน้ำ พื้นสนามบิน อยู่ที่ 500 ล้านบาท โดยรายได้ของ AOTGA ที่ผ่านมานับตั้งแต่ช่วง การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) มีการเติบโตที่โดดเด่นอย่างมาก

ขณะที่ ภาพรวมรายได้ปี 2568 AOTGA คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 3,800-3,900 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการเติบโตของบริการภาคพื้นใน สนามบินภูเก็ต หลังมีเที่ยวบินเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนการเข้าสู่ช่วง (High season) ในเดือน ตุลาคม-พฤศจิกายน รวมไปถึงรัฐบาลมีการโปรโมทการท่องเที่ยวร่วมด้วย อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่แล้วรายได้ของบริษัทจะมาจากสนามบินภูเก็ต คิดเป็น 60-70% รองลงมาคือ ดอนเมือง อยู่ที่ 30% ขณะที่ สนามบินสุวรรณภูมิ นั้นยังมีการสร้างรายได้ที่น้อยอยู่เนื่องจาก AOTGA ยังไม่ได้ประมูลงานภายในสนามบิน

อย่างไรก็ตาม หากมีการเปิดประมูลงานภายในสนามบินสุวรรณภูมิ อาทิ บริการขนส่งสินค้า (Cargo) และ บริการภาคพื้น AOTGA มีความพร้อมในการดำเนินการ เนื่องจากมีความในเรื่องประสบการณ์ และหากได้รับการคัดเลือก AOTGA คาดการณ์ว่าจะต้องใช้เงินในการลงทุนช่วงแรกประมาณ 1,000 ล้านบาท

“จริงๆ แล้วรายได้ต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่จะลงทุนอยู่ตรงไหน แบบไหน และเรายังมีความพร้อมที่จะเข้าประมูลทั้งบริการ Cargo และบริการภาคพื้น เพราะว่าเป็นกิจกรรมที่ต่อเนื่องกัน อย่างที่เห็นเราทำกราวน์ในสบามบินเนี่ยพอเครื่องบินจอดกระเป๋าถูกส่งไปที่หนึ่ง Cargo ไปส่วนหนึ่ง ถ้าไปคนละที่มันจะทำให้เกิดของหาย ส่งไปไม่ตรง ซึ่งบริการทั้ง 2 ส่วนต้องเชื่อมโยงกัน อย่างไรก็ตามหากได้รับงานทั้ง 2 ส่วนนี้ AOTGA คาดการณ์ว่าจะสร้างการเติบโตมากกว่า 1 เท่าตัว ส่วนเป้าหมายการเดินหน้าระดมทุนเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้นปัจจุบันยังไม่มีแผน เนื่องจากต้องมีการพูดคุยก่อน”  นายสิริวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย

Back to top button