ดักเก็บ 5 กองรีท รับประโยชน์ดอกเบี้ยขาลง
โบรกแนะสอย 5 กองรีทได้รับประโยชน์หลัก LHHOTEL-WHAIR-BAREIT-AIMIRT-DIF ลุ้นปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะเริ่มในปีหน้า เพื่อจะประหยัดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยได้จำนวนมาก
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์เกี่ยวกับกองทรัสต์ คือ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต สามบีบี หรือ 3BBIF, กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกร หรือ BTSGIF, ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกร หรือ CPNREIT, กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล หรือ DIF, ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไอเน็ต หรือ INETREIT, ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล หรือ WHAIR โดยคาดการณ์ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยจะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ในการประชุมวันที่ 16 ตุลาคม 2567 เพราะเศรษฐกิจไทยเติบโตเร่งขึ้น 2.3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนในไตรมาส 2/2567 หลังจากที่เติบโตเพียง 1.6% ในไตรมาส 1/2567 และตัวเลขเศรษฐกิจเดือนกรกฎาคม ส่วนใหญ่ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนและปีก่อน
ด้าน Krungsri Research คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตเร่งขึ้นราว 3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนในครึ่งปีหลัง ทำให้ทั้งปี 2567 ขยายตัว 2.4% ภาคการส่งออกและการผลิตภาคอุตสาหกรรมของไทยยังเผชิญความไม่แน่นอน ประกอบกับธนาคารกลางสำคัญ ได้แก่ European Central Bank และ Bank of England ได้เริ่มลดดอกเบี้ยนโยบายลงแล้ว นอกจากนี้ FOMC ของสหรัฐอเมริกาน่าจะเริ่มต้นลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายนนี้
ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสองเดือนติดต่อกันสนับสนุนจากการสิ้นสุดอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ REIT มี valuation ถูก ซึ่งซื้อขายที่ เฉลี่ย 0.7 เท่า P/NAV 3 กลุ่มอุตสาหกรรมแรกที่ปรับขึ้น ได้แก่ ศูนย์จัดนิทรรศการและโรงภาพยนตร์เพิ่มขึ้น 10.60%, คลังสินค้าและโรงงานให้เช่าเพิ่มขึ้น 7.2% และศูนย์การค้าเพิ่มขึ้น 4.8% ส่วน 3 อันดับแรกที่ราคาลดลงมากที่สุด ได้แก่ โทรคมนาคมลดลง 2.4%, ที่อยู่อาศัยลดลง 2.0% และขนส่งลดลง 2.0%
ทั้งนี้ ทางฝ่ายวิจัยเน้นไปที่กองทรัสต์ที่มีมูลค่าตลาดมากกว่า 5 พันล้านบาท ผู้ที่ได้รับประโยชน์หลักและทันทีจากอัตราดอกเบี้ยขาลง คือ REIT ที่มี LTV สูงและมีเงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวเป็นส่วนใหญ่ โดยสมมติฐานว่าอัตราดอกเบี้ยลดลง 1% และดอกเบี้ยที่ประหยัดได้ทั้งหมดจะจ่ายเป็นเงินปันผลเพิ่มเติม ผู้ได้รับผลประโยชน์สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ LHHOTE มีผลตอบแทนเงินปันผลเพิ่มขึ้น 0.8%, WHAIR มีผลตอบแทนเงินปันผลเพิ่มขึ้น 0.8%, BAREIT มีผลตอบแทนเงินปันผลเพิ่มขึ้น 0.4%, AIMIRT มีผลตอบแทนเงินปันผลเพิ่มขึ้น 0.4% และ DIF มีผลตอบแทนเงินปันผลเพิ่มขึ้น 0.3% ส่วนกองทรัสต์ที่ไม่ได้รับประโยชน์ เนื่องจากมีเงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย ได้แก่ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย หรือ TFFIF, กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท หรือ BTSGIF, กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 1 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ EGATIF และ กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ฟิวเจอร์พาร์ค หรือ FUTUREPF