KKPS หั่นเศรษฐกิจจีนปีนี้เหลือ 4.8% หวั่น 5 ธุรกิจในไทยรับผลกระทบ

โบรกมองผลกระทบเศรษฐกิจจีนปีนี้เหลือ 4.8% อาจส่งผลกระทบไทย หวั่นกลุ่มท่องเที่ยว บรรจุภัณฑ์ พลังงาน และปิโตร จะเป็นกลุ่มที่อ่อนไหวที่สุด คือ AOT-MINT-AWC-ERW-CENTEL-CPF-CPALL-CPAXT-SCGP-CRC


บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKPS ระบุในบทวิเคราะห์ถึงผลกระทบของเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลงต่อตลาดหุ้นไทย โดยฝ่ายวิเคราะห์ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปีนี้ลงจาก 5% เหลือ 4.8% และสำหรับปีหน้าจาก 4.7% เหลือ 4.5%

ทั้งนี้ KKPS มองว่าการเติบโตที่ชะลอตัวลงของจีนจะส่งผลกระทบต่อไทยในหลายๆ ด้าน เช่น การชะลอตัวด้านการเติบโตของรายได้จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ในขณะที่การผลิตส่วนเกินจะทำให้เกิดการทุ่มตลาด (Dumping) ในตลาดไทย และก่อให้เกิดการแข่งขันด้านการส่งออกที่สูงขึ้น นอกจากนั้นแล้วค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าลงก็จะฉุดเงินบาทลงไปด้วยเช่นกัน

โดยฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์ว่ากลุ่มท่องเที่ยว บรรจุภัณฑ์ พลังงาน และปิโตร จะเป็นกลุ่มที่อ่อนไหวที่สุดต่อเรื่องดังกล่าว โดยในกลุ่มท่องเที่ยวคาดว่าบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT จะได้รับผลกระทบด้านลบหนักที่สุดเนื่องจากรายได้ราว 20% ตั้งแต่เดือน ม.ค.-ส.ค. นั้นมาจากนักท่องเที่ยวชาวจีน และคาดการณ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT, บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC และบริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW จะมีรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนราว 15-16% ในช่วงครึ่งปีแรกนี้ ส่วน บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL จะมีรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนราวอยู่ที่ 8%

ขณะที่จีนนั้นมีสัดส่วนการเติบโตของความต้องการโอเลฟินส์ที่สูงที่สุดในโลก ทำให้บริษัทที่มีธุรกิจด้านปิโตรเคมีจะได้รับผลกระทบต่อสมดุลอุปสงค์อุปทานที่ย่ำแย่ลงตามเศรษฐกิจจีน โดยบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP มีความเสี่ยงโดยตรงต่อรายได้ในจีนอยู่ 6%

ในด้านอาหารบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF มีกำไรก่อนหักภาษีจากจีนราว 12% หากไม่นับรวมรายได้จากบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL และบริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนนั้นไม่ได้เป็นปัจจัยผลักดันมาร์จินราคาเนื้อสัตว์ในประเทศ

ในส่วนของการค้าปลีกทางฝ่ายวิจัยคาดการณ์ว่า บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC และ CPALL จะได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย โดยอัตราส่วนจะอยู่ในระดับหลักหน่วยเท่านั้น

อีกทั้งในทางกลับกัน จะมีเพียงบริษัทไม่กี่แห่งที่จะได้รับผลบวกจากการเติบโตของจีน เช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT กลุ่มสาธารณูปโภค และบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP โดยจีนนั้นเป็นประเทศที่นำเข้า LNG ที่ใหญ่ที่สุดของโลก และอุปสงค์ที่ลดลงอาจส่งผลดีต่อประเทศไทยซึ่งมีการบริโภคก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ราว 15% ในการซื้อก๊าซที่ราคาต่ำลง

โดยในทางทฤษฎีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงของจีนจะกดดันราคาน้ำมันดิบ แต่ในปัจจุบันยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งภูมิรัฐศาสตร์ อุปสงค์ในสหรัฐ การปรับการผลิตของโอเปกพลัส ซึ่งส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบทั้งสิ้น จึงอาจเป็นเรื่องยากที่จะชี้ชัดว่าจีนจะเป็นปัจจัยหลักของราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง

ทั้งนี้ KKPS มองว่าการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีนนั้นเป็นปัจจัยเชิงลบต่อไทยอย่างชัดเจน แต่คาดว่าปัจจัยเชิงบวกในประเทศในครึ่งปีหลังนี้ทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และกองทุนวายุภักษ์ รวมถึงแนวโน้มการหั่นดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยในไตรมาส 4/67 ทำให้การเมืองที่คงที่มากขึ้น รวมถึงการถือครองของต่างชาติที่ลดลง จะช่วยเป็นปัจจัยเสริม และหักล้างผลกระทบจากจีนไปได้

Back to top button