TIDLOR ผันตัวโฮลดิ้ง InsurTech รุกตลาดอาเซียน-คุม NPL ปีนี้ไม่เกิน 2%
TIDLOR ปรับโครงสร้างโฮลดิ้ง มุ่งสู่ผู้นำด้าน InsurTech Platform เตรียมตั้งโต๊ะเทนเดอร์แลกหุ้น 1:1 ไตรมาส 4/67 พร้อมกางแผน 3-5 ปี บุกตลาดอาเซียน “อินโดนีเซีย-ฟิลิปปินส์-เวียดนาม” คุม NPL ไม่เกิน 2%
นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR เปิดเผยว่า บริษัทเดินหน้าจัดตั้งบริษัทใหม่ เพื่อดำเนินธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยในรูปแบบ InsurTech Platfrom ในอนาคต ได้แก่ แบรนด์ Areegator “อารีเกเตอร์” และแบรนด์ Heygoody “เฮ้กู๊ดดี้” รวมทั้งทรัพย์สินอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้แก่บริษัทใหม่ โดยภายหลังจากที่หุ้นสามัญของ TIDLOR Holding เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งหลังจากการโอนธุรกิจเกี่ยวข้องดังกล่าวแล้วเสร็จ บริษัทจะเข้าซื้อหุ้นของบริษัทใหม่ในสัดส่วน 99.99%
ทั้งนี้ เพื่อปลดล็อกศักยภาพทางธุรกิจนายหน้าประกัน มุ่งสู่ผู้นำด้าน InsurTech Platform ที่จะเข้ามาเป็นจิ๊กซอว์สำคัญในการเติมเต็ม TIDLOR Ecosystem เพื่อสร้างระบบนิเวศด้านการเงินและประกันภัยที่แข็งแกร่งให้กับภาพรวมการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ด้วยเป้าหมายสูงสุดในการเป็นที่พึ่งทางด้านการเงินและส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงความคุ้มครองด้านประกันภัยได้ทั่วถึง ควบคู่ไปกับการสร้างความแข็งแกร่งให้ภาพรวมธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นไปตามกำหนดที่วางไว้ โดยคาดการณ์ว่าบริษัทจะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท จากผู้ถือหุ้นเดิมโดยวิธีการแลกหุ้นที่อัตรา 1:1 ในช่วงไตรมาส 4/2567และคาดว่าจะแล้วเสร็จไม่เกินปลายปี 2567 เช่นเดียวกัน
สำหรับเงินติดล้อ ด้วยโครงสร้างผู้ถือหุ้นถือว่าเป็นบริษัทต่างด้าว และที่ผ่านมาบริษัทมีความจำเป็นต้องมีการปันผลเป็นหุ้น และการปันผลเป็นหุ้นเพื่อที่จะสามารถเข้ากับกฎเกณฑ์ต่างๆ ส่งผลให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทมีต้นทุนปีนึงหลายสิบล้าน ดังนั้นหากบริษัทมีการปรับเป็นกลยุทธ์โฮลดิ้ง จะส่งผลให้มีการประหยัดค่าใช้จ่ายเหล่านั้น
อีกทั้งมีการปรับโฮลดิ้ง โดยอาจจะมีบริษัทลูกที่แยกขึ้นมาเป็น InsurTech ซึ่งจะเพิ่มความคล่องตัวให้กับธุรกิจที่แตกต่างจากธุรกิจสินเชื่อ ทั้งนี้ บริษัทมีการพิจารณาแผนการขยายตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในอาเซียน จากประชาชนเกิน 100 ล้านคน อายุเฉลี่ยของประชากร และการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่ค่อนข้างเติบโตดี โดยมองประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ซึ่งคาดการณ์จะเห็นความชัดเจนช่วง 3-5 ปีหลังจากนี้
ขณะที่ปัจจุบันในไตรมาส 2/67 บริษัทมีหนี้ NPL อยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากประมาณ 1.8% ซึ่งบริษัทตั้งเป้าปีนี้ควบคุมไม่เกิน 2% ยังไม่ได้เป็นสิ่งที่น่ากังวล ด้วยการควบคุมการอนุมัติสินเชื่อ รวมไปถึงบริษัทได้ทำการตัดหนี้สูญ (write-off) เพิ่มอีกทางหนึ่ง
ทั้งนี้ พื้นฐานบริษัทของเรามีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นต่อเนื่อง แม้ลักษณะหุ้นจะมีการผันผวนบ้างเล็กน้อย โดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลประกอบการบริษัท เนื่องจากบริษัทมีการขยายสาขาเพิ่มมากขึ้น รวมถึงฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น ประกอบกับสินเชื่อเติบโต โดยบริษัทมั่นใจอย่างมาก มองจากกำไรมีการเติบโตต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่าการตั้งบริษัทโฮลดิ้งเข้ามา ยังไม่ได้มีการปรับนโยบายปันผลของเงินสด ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ที่ 20% ของกำไรต่อปี โดยจะมีการประหยัดต้นทุนได้ค่อนข้างมาก ประกอบกับยึดนโยบายกลยุทธ์จากการทำให้มีประสิทธิภาพ จากการคัดกรองคน อบรมพนักงาน มากกว่าการขยายสาขา
ขณะที่ตอนนี้เรายังอยู่ในภาวะหนี้ครัวเรือนที่ค่อนข้างสูง รวมถึงความต้องการของลูกค้าค่อนข้างเยอะเหมือนกัน อาจจะต้องมีการระมัดระวังในการอนุมัติสินเชื่อ แต่ยังคงเติบโตต่อเนื่องจากนวัตกรรมสินค้า และการเพิ่มฐานลูกค้าทั้งออนไลน์และออฟไลน์
สำหรับแนวโน้มครึ่งปีหลังมองว่าอาจจะมีการชะลอตัว เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก โดยกำลังรอพิจารณาความชัดเจนของนโยบายรัฐบาล เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งอาจจะเป็นผลดีในการเร่งการเติบโตผลงานให้แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการปรับอัตราดอกเบี้ยตามสภาวะสถานการณ์ความเสี่ยงที่พบเจอ โดยสินเชื่อส่วนใหญ่ต่ำกว่าเพดานดอกเบี้ย
ภาพรวมการดำเนินธุรกิจของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา นอกจากธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันมียอดสินเชื่อคงค้างมากกว่า 100,000 ล้านบาท ถือเป็นผู้นำในธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถแล้ว บริษัทยังคงมุ่งเน้นดำเนินธุรกิจนายหน้าประกัน เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงความคุ้มครองด้านประกันได้เพิ่มขึ้น จึงได้บุกเบิกธุรกิจในรูปแบบบริการผ่อนเบี้ยประกันรถยนต์ด้วยเงินสด 0%
ทั้งนี้ ภาพรวมการดำเนินธุรกิจนายหน้าประกันของบริษัทมีสัดส่วนธุรกรรมจากลูกค้าที่ซื้อประกันสูงกว่าการขอสินเชื่อ 3 เท่า และ 9 ใน 10 ของกรมธรรม์ที่ขาย เป็นการขายให้แก่ลูกค้าที่เจาะจงเข้ามาซื้อประกันโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นลูกค้าคนละกลุ่มกับลูกค้าสินเชื่อ สะท้อนถึงความสำเร็จในการสร้างการรับรู้ด้านแบรนด์ธุรกิจนายหน้าประกันของบริษัทอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากธุรกิจนายหน้าประกันภัย อยู่ที่ประมาณ 10% ของรายได้รวม โดยปี 2568 หรือปี 2569 บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มให้เป็นไม่น้อยกว่า 20% หากทำได้ โดยในปี 2567 นี้ บริษัทคาดหวังเบี้ยประกันเติบโต 20% หรือ อยู่ที่ 10,000 ล้านบาท จากสิ้นปีก่อนที่อยู่ 8,700 ล้านบาท และมีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 4%
ขณะเดียวกัน นางอาฑิตยา พูนวัตถุ ผู้บริหาร ด้านธุรกิจประกันภัย TIDLOR กล่าวว่า บริษัทฯ สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ผ่านการนำเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันได้ครอบคลุมความต้องการที่หลากหลายของกลุ่มลูกค้า ภายใต้แบรนด์ต่างๆ ดังนี้
1.แบรนด์ “ประกันติดโล่” (ชื่อเดิม ประกันติดล้อ) ธุรกิจนายหน้าประกันในรูปแบบ Face to Face ซึ่งถือเป็นเบอร์ 1 ด้านการให้คำปรึกษาและเสนอขายประกันอย่างใกล้ชิดผ่านนายหน้าผู้เชี่ยวชาญกว่า 5,000 คน จากช่องทางสาขามากกว่า 1,700 แห่งทั่วประเทศ นำเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันที่ครอบคลุมทั้ง รถยนต์ คน และบ้าน
2.แบรนด์ “อารีเกเตอร์” (Areegator) แพลตฟอร์มเสนอขายประกันออนไลน์ ผ่านสมาชิกตัวแทนนายหน้าประกัน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “จริงใจ เข้าใจ เติบโตไปพร้อมกัน” ถือเป็นแพลตฟอร์มที่ใช้เทคโนโลยีประกันภัย (Insurtech) เข้ามาช่วยสนับสนุนสมาชิก ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 9,000 คน และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ คาดว่าผลการดำเนินงานของอารีเกเตอร์ในปี 2567 จะมีทิศทางเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าการเติบโตและคาดว่าจะมีเบี้ยประกันเพิ่มขึ้นกว่า 19 เท่า ซึ่งถือเป็นปีแรกที่เปิดให้บริการ
นอกจากนี้ สมาชิกอารีเกเตอร์ยังมีรายได้โดยเฉลี่ยเติบโตขึ้นต่อเนื่อง โดยในปี 2566 สมาชิกได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยมากกว่า 150,000 บาทต่อคน ซึ่งการที่สมาชิกมีรายได้เพิ่มขึ้น และเติบโตไปด้วยกัน ยังเป็นเป้าหมายหลักของอารีเกเตอร์ ทั้งนี้ “อารีเกเตอร์” ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี Software-as-a-Service (SaaS) ถือเป็นแพลตฟอร์มเสนอขายประกันออนไลน์ ที่ให้บริการผ่านสมาชิกนายหน้าประกันภัย หรือนักขายอิสระ เพื่อขยายตลาดลงลึกเข้าไปในระดับชุมชนขนาดเล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
3.แบรนด์ “เฮ้กู๊ดดี้” (heygoody) คือแพลตฟอร์มนายหน้าประกันดิจิทัลโดยเฉพาะ ที่สร้างขึ้นเพื่อกลุ่มลูกค้าประกันรายย่อยที่ไม่ชอบการถูกรบกวนทางโทรศัพท์ และต้องการเลือกซื้อประกันด้วยตัวเองผ่านช่องทางออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมรับความคุ้มครองทันที โดยลูกค้าสามารถเปรียบเทียบเบี้ยและเงื่อนไขการรับประกันได้ด้วยตัวเองจากบริษัทประกันพันธมิตรชั้นนำมากกว่า 15 แห่ง พร้อมทางเลือกในการชำระค่าเบี้ยด้วยการผ่อนเงินสดพร้อมดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 10 เดือน