เปิด 17 หุ้น “บลูชิพ” ราคาต่ำบุ๊ก-แลกการ์ด รับ SET ขาขึ้น!

เปิด 17 หุ้น “บลูชิพ” ราคาต่ำบุ๊ก-แลกการ์ด รับเม็ดเงินวายุภักษ์-ThaiESG ไหลเข้า ดัน SET ปีนี้ทะยานแตะ 1,500 จุด ชู TLI, PTT, BJC, CPF,IVL,TTB, SCB, SCC, TOP, BCP, KTB, RATCH, KBANK, EA, EGCO, BBL,PTTGC เด่น


ดัชนีตลาดหุ้นไทย(SET INDEX) ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาทะยานขึ้นกว่า 100 จุด และมาปิดที่ระดับ 1,427 จุด พร้อมด้วยด้วยปริมาณการซื้อขายทะลุ 1 แสนล้านบาทไปแล้ววานนี้ (6 ก.ย.67) เนื่องจากนักลงทุนมั่นใจภาวะตลาด หลังสามารถจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ รวมถึงนโยบายด้านตลาดทุนที่จะได้รับการสานต่อ โดยเฉพาะกองทุนรวมวายุภักษ์ที่ทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นตลาดในช่วงนี้

ด้านนักวิเคราะห์ได้ประเมินเม็ดเงินใหม่ที่กำลังเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยหลัก ๆ 2 ส่วน ส่วนใหญ่น่าจะเข้ามาในช่วงไตรมาส 4/67 สูงถึงราว 1.2-1.7 แสนล้านบาท อาทิ กองทุนวายุภักษ์ 1.0-1.5 แสนล้านบาท ผสานเม็ดเงินกองทุน ThaiESG มีผล 3 เดือน เดือนละ 6-7 พันล้านบาท ต่อยอดด้วยเม็ดเงิน ThaiESG เต็มปีในปี 68 อีก 7.8 หมื่นล้านบาท

ดังนั้น “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการสำรวจกลุ่มหุ้น SET50 ราคาแลกการ์ดและต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี และ P/BV ไม่เกิน 1 เท่า มานำเสนอในช่วงที่ตลาดหุ้นขาขึ้น โดยกลุ่มหุ้นที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวคัดเลือกมา 17 ตัวประกอบด้วย TLI, PTT, BJC, CPF,IVL,TTB, SCB, SCC, TOP, BCP, KTB, RATCH, KBANK, EA, EGCO, BBL, PTTGC

บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI พบว่าค่า P/BV อยู่ที่ 0.92 เท่า ขณะที่ราคาหุ้น ณ 6 ก.ย.67 อยู่ที่ 8.70 บาท โดยต่ำกว่ามูลค่าหุ้นตามบัญชีอยู่ที่ระดับ 9.12 บาท

ด้านกำไรสุทธิ TLI ไตรมาส 2/2567 เท่ากับ 2.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อน (YoY) (กำไรจากธุรกิจประกันภัยดีขึ้น จากค่าใช้จ่ายในการรับประกันภัยลดลง) แต่ลดลง 12% จากไตรมาสที่ผ่านมา (QoQ) (กำไรจากการขายเงินลงทุนลดลง) กำไรสุทธิครึ่งปีแรก 2567 เท่ากับ 5.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อน คิดเป็น 58% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 ของ Bloomberg consensus เบื้องต้นคาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/2567 เติบโตจากปีก่อน แต่ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา

ทั้งนี้หลังจากที่ TLI ถูก consensus downgraded earnings มาตลอดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ล่าสุดเริ่มเห็นการปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 ขึ้นเล็กน้อย 1% จาก 9.96 พันล้านบาท มาที่ 1.01 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อน) หลังประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 2/2567 ช่วงกลางเดือน ส.ค. 2567 ประเมินว่าความเสี่ยงในการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 ลงน่าจะจำกัดแล้ว

ขณะที่ Bloomberg consensus กำหนดราคาเป้าหมาย TLI เฉลี่ยที่ 12.10 บาท ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ราคาตลาดต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (PER) ปี 2567 ที่ 8.7 เท่า (ต่ากว่าค่าเฉลี่ย PER ย้อนหลัง 2 ปี ตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 15.1 เท่า) และอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV) ปี 2567 ที่ 0.8 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย P/BV ย้อนหลัง 2 ปีตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 1.4 เท่า)

ทั้งนี้ คาดการณ์อัตราส่วนผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ปี 2567 อยู่ที่ 9.2% คิดเป็น PBV/ROE ที่ 0.085 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ย PBV/ROE ของกลุ่มธนาคารที่ศึกษาที่ 0.081 เท่า และคาดดิวิเดนด์ยีลด์ราว 4% ต่อปี

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT พบว่าค่า P/BV อยู่ที่ 0.81 เท่า ขณะที่ราคาหุ้น ณ 6 ก.ย.67 อยู่ที่ 34.75 บาท โดยต่ำกว่ามูลค่าหุ้นตามบัญชีอยู่ที่ระดับ 41.42 บาท

ด้านนายธนพล ประภาพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายผู้ลงทุนสัมพันธ์ PTT เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2567 และในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่ายังมีปัจจัยสนับสนุนธุรกิจ โดยธุรกิจสำรวจและผลิต (E&P) วอลุ่มจะเพิ่มขึ้น และยังคงสามารถรักษาต้นทุนการผลิตไว้ได้ ส่วนธุรกิจก๊าซฯ คาดว่าต้นทุนจะปรับเพิ่มขึ้นจากมาตรการ Single Pool Price และมาร์จิ้นลดลงเล็กน้อย แต่ในส่วนของดีมานด์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีที่ผ่านมา รวมถึงกำลังการผลิตก๊าซฯ ในอ่าวไทยที่เพิ่มขึ้น น่าจะส่งผลดีต่อโรงแยกก๊าซฯ อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามราคา Pool Gas ด้วย

ขณะที่ธุรกิจน้ำมัน จะรักษาระดับมาร์จิ้นไว้ได้ แม้วอลุ่มจะอ่อนตัวลงเล็กน้อย ส่วนธุรกิจ P&R ในส่วนของโรงกลั่นฯ คาดว่า มาร์จิ้นจะอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่า สเปรดจะดีขึ้นจากฤดูกาลขับขี่ในสหรัฐฯ และสภาพอากาศที่เข้าสู่ฤดูหนาว ส่วนธุรกิจปิโตรเคมี ราคาผลิตภัณฑ์ยังทรงตัว มองสเปรดยังท้าทาย แต่หวังว่าดีมานด์ครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวขึ้นมาบ้างจากทางจีน และการ Restock เพื่อรับความต้องการใช้ช่วงเทศกาลต่าง ๆ ในปลายปี ขณะที่ธุรกิจไฟฟ้า คาดว่าดีมานด์จะเพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

สำหรับทิศทางราคาน้ำมันปีนี้ คาดราคาน้ำมันดิบดูไบจะปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1% มาอยู่ที่ระดับ 78-88 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนราคาก๊าซธรรมชาติ คาดว่าปีนี้จะอ่อนตัวลงเมื่อเทียบจากปีก่อน

บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC พบว่าค่า P/BV อยู่ที่ 0.80 เท่า ขณะที่ราคาหุ้น ณ 6 ก.ย.67 อยู่ที่ 24.30 บาท โดยต่ำกว่ามูลค่าหุ้นตามบัญชีอยู่ที่ระดับ 29.68 บาท

ด้านนางสาวอัญชลี ริมวิริยะทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน BJC เปิดเผยว่า ภาพรวมของผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมาจากการเติบโตของทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย 1.กลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ (Big C),2. กลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์,3. กลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภค และ 4. กลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และทางเทคนิค

ขณะที่บริษัทมั่นใจภาพรวมของผลการดำเนินงานในปี 2567 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะมีรายได้รวมเติบโต Mid to High Single digit Growth (การเติบโตระดับกลางถึงสูงหลักเดียว) จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 168,029.67 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้รวมแล้ว 85,045.29 ล้านบาท

โดยกลุ่มธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ หรือ BigC ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะมุ่งเน้นพัฒนาการเติบโตด้านอาหารสด ซึ่งจะเพิ่มปริมาณผู้เข้าใช้และสร้างความแตกต่าง ด้านธุรกิจค้าส่งจะเพิ่มยอดขายกลุ่มที่มีกำไร เพื่อขยายอัตรากำไรอย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นรูปแบบพัฒนาและสร้างความแตกต่าง มุ่งเน้นสื่อสารและการตลาดที่เรียบง่าย

ด้านกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์ในครึ่งปีหลัง มองว่ากลุ่มแก้วและกระป๋องยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี บริษัทจะมุ่งเน้นการเติบโตจากกลุ่มสินค้าบุคคลภายนอก (third party) โดยเน้นที่กลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหารและการส่งออก ซึ่งคาดว่ายอดขายโดยรวมจะฟื้นตัวเต็มที่ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3/2567 เป็นต้นไป

ส่วนกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ในช่วงครึ่งปีหลังยังมีแนวโน้มออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น การจับมือแบรนด์ดังอื่น ๆ เพื่อทำการตลาด ออกสินค้ารสชาติใหม่ให้เหมาะกับเทศกาล ซึ่งจะออกสินค้าหมวดหมู่ใหม่ ๆ ทั้งกลุ่มการดูแลผิวหน้า การดูแลผม และในอนาคตบริษัทมุ่งพัฒนาสินค้าในกลุ่มลูกค้าสูงวัย และกลุ่มสัตว์เลี้ยง คาดว่าจะเริ่มเห็นชัดเจนในปี 2568 นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มสินค้าบริการทางเวชภัณฑ์และทางเทคนิค บริษัทคาดว่าจะเริ่มเห็นการเติบโตอย่างชัดเจนในครึ่งหลังปีนี้ หลังจากมีงบประมาณภาครัฐออกมา ซึ่งจะหนุนการใช้จ่ายในกลุ่มเครื่องมือแพทย์ ทั้งเครื่องแมมโมแกรม เอกซเรย์ เป็นต้น

ด้านบล.กรุงศรี ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปี 67 ในทางบวก ประเมินเม็ดเงินใหม่ที่กำลังเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยหลักๆ 2 ส่วน ส่วนใหญ่น่าจะเข้ามาในช่วงไตรมาส 4/67 สูงถึงราว 1.2-1.7 แสนล้านบาท (กองทุนวายุภักษ์ 1.0-1.5 แสนล้านบาท ผสาน เม็ดเงินกองทุน ThaiESG มีผล 3 เดือน เดือนละ 6-7 พันล้านบาท) ต่อยอดด้วยเม็ดเงิน ThaiESG เต็มปีในปี 68 อีก 7.8 หมื่นล้านบาท จะหนุน SET เดินหน้าสู่เป้าหมายสิ้นปี 67 ประเมินที่ 1,540 จุด (PER2024 17.3X)

Back to top button