“ดาวโจนส์” ปิดลบ 410 จุด จับตา “เฟด” ลดดอกเบี้ย! หลังจ้างงานต่ำคาด
“ดาวโจนส์” ปิดลบ 410 จุด หลังเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯชะลอตัวลง จับตา “เฟด” ปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากเพียงใด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันศุกร์ (6 ก.ย.) หลังการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานบ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงชะลอตัวลง ขณะที่บรรดานักลงทุนไม่แน่ใจว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมากเพียงใด
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 40,345.41 จุด ลดลง 410.34 จุด หรือ -1.01%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,408.42 จุด ลดลง 94.99 จุด หรือ -1.73% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 16,690.83 จุด ลดลง 436.83 จุด หรือ -2.55%
โดยดัชนีดาวโจนส์และ S&P500 ร่วงลงรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2566 ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปรับตัวลงรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2565
ส่วนหุ้นทั้ง 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปรับตัวลง นำโดยการร่วงลงของหุ้นกลุ่มบริการสื่อสาร, สินค้าฟุ่มเฟือย และกลุ่มเทคโนโลยี
ด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 142,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 164,000 ตำแหน่ง และกระทรวงแรงงานยังได้ปรับลดตัวเลขการจ้างงานในเดือนก.ค.สู่ระดับ 89,000 ตำแหน่ง จากเดิมรายงานไว้ที่ระดับ 114,000 ตำแหน่ง
ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 4.2% สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 4.3% ในเดือนก.ค.
ลู บาเซเนส ประธานและหัวหน้านักวางกลยุทธ์ตลาดของเอ็มดีบี แคปิตอล (MDB Capital) ในนิวยอร์กกล่าวว่า ข้อมูลจ้างงานดังกล่าวบ่งชี้ว่า เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือนนี้
คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ผู้ว่าการเฟดกล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า ถึงเวลาแล้วที่เฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงหลายครั้ง และระบุเสริมว่า เขามีความยืดหยุ่นเกี่ยวกับขนาดและความเร็วในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ด้านเครื่องมือ FedWatch ของ CME Group บ่งชี้ว่า บรรดาเทรดเดอร์คาดการณ์ว่า มีโอกาส 73% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในเดือนก.ย. ขณะที่มีโอกาส 27% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% โดยโอกาสดังกล่าวเพิ่มขึ้นชั่วคราวเป็น 51% หลังการรายงานข้อมูลจ้างงานที่ต่ำกว่าคาด
ส่วนการร่วงลงของหุ้นเติบโตขนาดใหญ่ถ่วงตลาดลง ซึ่งรวมถึงหุ้นในกลุ่ม Magnificent Seven โดยหุ้น Nvidia ร่วง 4%, หุ้น Tesla ร่วง 8.4%, หุ้น Alphabet ร่วง 4%, หุ้น Amazon ร่วง 3.7%, หุ้น Meta ร่วง 3.2%, หุ้น Microsoft ลดลง 1.6%, และ หุ้น Apple ปรับตัวลง 0.70%.
ขณะที่หุ้น Broadcom ดิ่งลง 10.4% หลังบริษัทคาดการณ์ว่า รายได้ในไตรมาส 4 จะต่ำกว่าที่คาดไว้เล็กน้อย เนื่องจากการใช้จ่ายในธุรกิจบรอดแบนด์ซบเซา
ด้านหุ้นของบริษัทผลิตชิปอื่น ๆ ปรับตัวลงเช่นกัน โดยหุ้น Marvell ร่วงลง 5.3% และหุ้น Advanced Micro Devices (AMD) ร่วงลง 3.7%
ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ที่ตลาดหุ้นฟิลาเดลเฟียปิดร่วงลง 4.5% และเป็นการปรับตัวลงรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2563
ขณะที่หุ้น Super Micro Computer ผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ร่วงลง 6.8% หลังจากนักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกนปรับลดคำแนะนำลงทุนหุ้นตัวนี้จาก “เพิ่มน้ำหนักลงทุน” เป็น “คงน้ำหนักการลงทุน”