ส่องหุ้นได้ประโยชน์ “วายุภักษ์” ระดมทุน 1.5 แสนล้าน

3 โบรกคัดหุ้นได้ประโยชน์กองทุน “วายุภักษ์” เตรียมระดมทุนเงินมูลค่า 1-1.5 แสนล้านบาท ชูอัตราผลตอบแทนขั้นสูงไม่เกิน 9% ต่อปี เปิดจองซื้อวันที่ 16 - 20 ก.ย.นี้ ที่ราคาหน่วยละ 10 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทจัดการกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง เปิดเผยเกี่ยวกับ “กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง” มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวม (NAV) 353,596 ล้านบาท และปัจจุบันพร้อมเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. แก่ผู้ลงทุนทั่วไป เตรียมระดมทุนมูลค่ารวม 1-1.5 แสนล้านบาท และจะนำหน่วยลงทุนเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันที่ 7 ต.ค. 67

โดยรอบแรกเปิดให้ผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นผู้ลงทุนรายย่อยจองซื้อวันที่ 16–20 กันยายน 2567 วงเงินรวมเบื้องต้นประมาณ 3-5 หมื่นล้านบาท ในราคาเสนอขายหน่วยละ 10 บาท โดยสามารถจองซื้อขั้นต่ำ 1 หมื่นบาท และเพิ่มขึ้นได้ครั้งละ 1,000 บาท จัดสรรในรูปแบบ  Small Lot First เพื่อกระจายให้ผู้ลงทุนได้อย่างทั่วถึง ประกาศผลการจัดสรรในวันที่ 25 กันยายน 2567 ส่วนที่เหลือราว 1-1.2 แสนล้านบาท จะเสนอขายให้กับนักลงทุนประเภทสถาบันในช่วงวันที่ 18-20 กันยายน 2567

นายวราห์ สุจริตกุล ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง กล่าวว่า เงินที่ได้จากการเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. ส่วนใหญ่จะนำไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนของกองทุนฯ แต่ละปี จะจ่ายให้ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ในรูปแบบเงินปันผลตามผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริงของกองทุนฯ ในอัตราไม่ต่ำกว่า 3% ต่อปี แต่ไม่เกินกว่า 9% ต่อปี โดยผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. จะได้รับเงินปันผลอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง คำนวณจากมูลค่าที่ตราไว้ (Par) ของหน่วยลงทุนประเภท ก. ที่ 10 บาทต่อหน่วย ซึ่งไม่ใช่การรับประกันหรือค้ำประกันผลตอบแทน แต่เป็นกลไกคุ้มครองผลตอบแทนของกองทุนฯ ทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. จะได้รับเงินปันผลก่อนผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. จากนั้นผลตอบแทนส่วนที่เหลือจะเป็นของหน่วยลงทุนประเภท ข.

ทั้งนี้สอดคล้องกับฝ่ายนักวิเคราะห์ บริษัท หลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการกำกับการดำเนินงานของกองทุน รวมวายุภักษ์ เปิดเผยว่า คลังจะเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. กองทุนรวมวายุภักษ์ 1 (VAYU1) มูลค่ารวมไม่เกิน 1.5 แสนล้านบาท โดยรายละเอียดดังนี้ วันที่ 16-20 กันยายน 2567 พร้อมเปิดให้ “ประชาชนรายย่อย” ถัดไปจองซื้อวันที่ 18-20 กันยายน 2567 เปิดให้ “นักลงทุนสถาบัน” จองซื้อ และวันที่ 23 กันยายน 2567 จะเป็นการทราบผลจัดสรรหน่วยลงทุน

ส่วนวันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป กองทุนฯเริ่มเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นไทย ขณะที่วันที่ 15 ตุลาคม 2567 หน่วยลงทุนสามารถเข้าซื้อขายได้

สำหรับหุ้นที่กองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่ง จะเปิดกว้างให้มีการลงทุนในหุ้น Small & Mid Cap ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีคะแนน ESG สูง เพื่อเปิดกว้างให้กับผู้บริหารกองทุนต่างๆ ได้มีตัวเลือกในการเข้างลงทุนมากขึ้นจากเดิมมีข้อจำกัดการลงทุนเพียงแค่หุ้นในกลุ่ม SET50 หรือ SET100 เท่านั้น

โดยคัดหุ้น Small & Mid Cap ที่มีโอกาส outperform SET โดยเลือกจากหุ้น Small & Mid Cap ปรับตัวขึ้นมาไม่มาก (% return) ตั้งแต่ SET ลงไปต่ำสุดครั้งสุดท้ายในวันที่ 6 สิงหาคม 2567 ส่งผลให้ดัชนี SET อยู่ที่ระดับ 1,274 จุด และยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าระดับราคาในวันที่ SET จุดสูงสุดครั้งสุดท้าย เมื่อเทียบกับวันที่ 3 มกราคม 2566 ดัชนี SET อยู่ที่ระดับ 1,679 จุด

รวมทั้งมี ESG rating สูงระดับ A, AA, AAA รวมถึงมีปัจจัยพื้นฐานดี มีแนวโน้มเติบโตดีในช่วงปี 2568 และจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ

ดังนั้นมีมุมมองบวกต่อ Top picks for small & mid cap อย่าง บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP, บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM, บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD, บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL, บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC

ขณะที่ บริษัท หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า ในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป กองทุนวายุภักษ์ จะเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งคาดหวังเม็ดเงินจะขยับขึ้นไปอยู่ระดับ 1.5 แสนล้านบาท เข้ามาช่วยปกป้องและพยุงตลาดหุ้นไทย

ทั้งนี้ กลยุทธ์การลงทุน แนะนำสะสมหุ้นที่น่าจะเป็นเป้าหมายของกองทุนวายุภักษ์ โดยคัดกรองจากหุ้นที่วายุภักษ์ถือเยอะ และมี ESG RATING “AAA” ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT, บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP, ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB, บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC, บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK, บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC, บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF, SCGP, บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR

นอกจากนี้ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ทางฝ่ายวิจัยมองกองทุนวายุภักษ์หนึ่ง หลังรัฐบาลตั้งเป้าระดมทุนในกรอบ 1-1.5 แสนล้านบาท คาดการณ์ทราบรายละเอียดช่วงกลางเดือนกันยายนเป็นต้นไป ดังนี้

1.Screen หุ้นที่มีโอกาสเป็นเป้าหมายของการซื้อด้วยเกณฑ์ดังต่อไปนี้

2.หุ้นที่มี Rating ในกลุ่ม ESG จำนวน 105 ตัว

3.Yield มากกว่า 3% ในปี 2568 และปี 2569 โดยอิงจากเกณฑ์เดิมที่ให้ผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 3% ซึ่งณ.ตอนนั้น Yield อยู่ที่ระดับ 4.8% แต่หากอิงจากภาระปัจจุบันที่ 2.5-2.6% ประเมินว่าเป็นได้ยากจะสามารถการันที่ผลตอบแทนที่ 3% อย่างไรก็ตามเกณฑ์มีโอกาสจ่ายตามปันผลขั้นสูง

4.เป็นหุ้นที่มี KS มี Rating : Outperfrom และมี Upside จากราคาเป้าหมายของนักวิเคราะห์

5.SET50

ทั้งนี้ จากเกณฑ์ดังกล่าวทางฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกต่อ 17 หุ้น ดังนี้

ADVANC ให้ราคาเป้าหมาย 257.68 บาท, บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ให้ราคาเป้าหมาย 87.33 บาท, บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ให้ราคาเป้าหมาย 30.00 บาท, ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ให้ราคาเป้าหมาย 148.00 บาท, KTB ให้ราคาเป้าหมาย 19.10 บาท, บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH ให้ราคาเป้าหมาย 34.00 บาท, BCP ให้ราคาเป้าหมาย 44.20 บาท, บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH ให้ราคาเป้าหมาย 7.80 บาท

ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB ให้ราคาเป้าหมาย 1.92 บาท, บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ให้ราคาเป้าหมาย 78 บาท, บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ให้ราคาเป้าหมาย 30.90 บาท บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ให้ราคาเป้าหมาย 62.50 บาท, บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO ให้ราคาเป้าหมาย 125.00 บาท, PTT ให้ราคาเป้าหมาย 36.00 บาท, บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ให้ราคาเป้าหมาย 6.25 บาท, บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO ให้ราคาเป้าหมาย 12.30 บาท, บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ให้ราคาเป้าหมาย 174 บาท

ขณะเดียวกันยังเปิดกว้างให้มีการลงทุนในหุ้น Mid & Small Cap ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีคะแนน ESG สูง โดยมีมุมมองบวก 7 หุ้น ดังนี้

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP ให้ราคาเป้าหมาย 10.90 บาท, บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA ให้ราคาเป้าหมาย 47.00 บาท, บริษัท ทีคิวเอ็ม อัลฟา จำกัด (มหาชน) หรือ TQM ให้ราคาเป้าหมาย 35 บาท, บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU ให้ราคาเป้าหมาย 5.80 บาท, บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ให้ราคาเป้าหมาย 2.06 บาท, บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP ให้ราคาเป้าหมาย 5.05 บาท, บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR ให้ราคาเป้าหมาย 19.39 บาท

Back to top button