PCE เทรดวันแรก! โบรกชี้กำไร 3 ปี โตเฉลี่ย 25% เคาะเป้าสูง 3.70 บาท

PCE ลงสนามเทรดวันแรก! โบรกคาดกำไรปี 67-69 (CAGR) เติบโตเฉลี่ย 25% ได้แรงหนุนจากการขยายกำลังการผลิตและมีศักยภาพในการปรับปรุงประสิทธิภาพ โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 3.30-3.70 บาทต่อหุ้น


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (11 ก.ย.67) ว่า หลักทรัพย์ บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PCE ได้เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายใต้กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร

สำหรับ PCE มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วหลัง IPO 2,750 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก จำนวนรวม 750 ล้านหุ้น โดยเสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทและบริษัทย่อย ผู้มีอุปการคุณของบริษัทและบริษัทย่อย และนักลงทุนสถาบันและบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ในระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม และ 2-6 ก.ย.67 ในราคาหุ้นละ 2.28 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,710 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 6,270 ล้านบาท

ทั้งนี้ ราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (PE ratio) เท่ากับ 18.94 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.66 – 30 มิ.ย.67 ซึ่งมีกำไรสุทธิเท่ากับ 331.22 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญหลังเสนอขาย คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.12 บาทต่อหุ้น โดยมี บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์และรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ

อย่างไรก็ดี PCE ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ในธุรกิจอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มแบบครบวงจร แบ่งเป็น 1) กลุ่มธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์ม น้ำมันไบโอดีเซล และน้ำมันปาล์มโอเลอีนเพื่อการบริโภค รวมถึงการซื้อและจำหน่ายต่อของน้ำมันปาล์มและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้กับลูกค้าทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ 2) กลุ่มธุรกิจให้บริการคลังสินค้าและท่าเทียบเรือ 3) กลุ่มธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางรถ และ 4) กลุ่มธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางเรือ

ด้าน นายประกิต ประสิทธิ์ศุภผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PCE เปิดเผยว่า การระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับบริษัท โดย PCE จะนำเงินไปใช้ลงทุนโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบ เครื่องจักรและอุปกรณ์ เพื่อขยายกำลังการผลิต ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และลงทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เพื่อต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ และใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม PCE

ทั้งนี้บริษัทมีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO คือ กลุ่มครอบครัวประสิทธิ์ศุภผล ถือหุ้นรวม 72.73% โดยบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการหลังหักสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับกระแสเงินสด แผนการลงทุน เงื่อนไขทางกฎหมาย และปัจจัยอื่นๆ ในอนาคต

บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MST เปิดเผยว่า PCE เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการธุรกิจน้ำมันปาล์มปลายน้ำ ที่ใหญ่ที่สุดและบูรณาการเพียงรายเดียวใน อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มที่เติบโตอย่างรวดเร็วของประเทศไทย โดยคาดการณ์กำไรปกติในปี 67-69 จะเติบโตเฉลี่ย 25% (CAGR) ได้แรงหนุนจากการขยายกำลังการผลิตและมีศักยภาพในการปรับปรุงประสิทธิภาพ

โดยประเทศไทยกำลังขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรายใหญ่ที่เติบโตเร็วที่สุดและ ผู้ส่งออกน้ำมันปาล์ม ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา การผลิตของประเทศไทยมี เติบโต 5% แซงหน้าอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น 3.7% และมาเลเซียลดลง 0.3% การส่งออกน้ำมันปาล์มของไทยเติบโต 27% เทียบกับ 0.2% สำหรับอินโดนีเซียและลดลง 0.8% สำหรับมาเลเซีย ความต้องการมีแนวโน้มที่จะเติบโต 5% และอาจสูงถึง 13% จนถึงปี 73 (เนื่องจากมีการนำเชื้อเพลิงชีวภาพมาใช้มากขึ้น) จึงเห็นการเติบโตที่สำคัญ ศักยภาพอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มของประเทศไทย ด้านการปลูกน้ำมันปาล์มเองก็มีแนวโน้มที่จะเติบโต 7.6% ในปี 67-72 เนื่องจากสวนยางเปลี่ยนมาใช้ปาล์มน้ำมัน

โดยประเมิน PCE ราคาเป้าหมายไว้ที่ 3.50 บาท/หน่วย บนค่า PE ปี 68 ที่ 13.8 เท่า โดยอิงจาก PE ของบริษัทน้ำมันปาล์มในภูมิภาค

บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI ระบุว่า ประเมินรายได้ของ PCE เติบโตแข็งแกร่งจากมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ B7 และ การสิ้นสุดลงของ El Nino คาดการณ์ว่าอัตรากำไรสุทธิใน 67-68 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1.68%, 2.03% ตามลำดับ เนื่องจากความสามารถในการดำเนินงานแบบตั้งราคาเพิ่มจากต้นทุน (Cost plus) การประเมินมูลค่าหุ้นที่ 3.70 บาท/หุ้น ด้วย EPS ปี 68 ที่ 0.21 บาท และ P/E ที่ 17.6 เท่า

บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน) คาดการณ์กำไรสุทธิปี 67 ของ PCE อยู่ที่ 536 ล้านบาท และในปี 68 คาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 601 ล้านบาท มาจากการเติบโตหลักๆ จะมาจากธุรกิจซื้อและจำหน่ายน้ำมันปาล์ม จากการส่งออกที่คาดว่าจะมีปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้นตามผลผลิตน้ำมันปาล์มที่สูงขึ้น ประกอบกับคาดการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลยังมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้น

โดย PCE ยังมีกำลังการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลเหลือ เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่จะเพิ่มขึ้น ประเมินมูลค่าเหมาะสมอยู่ที่ 3.50 บาท และระดับ P/E 16 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ย P/E ของบริษัทอื่นที่ประกอบธุรกิจน้ำมันปาล์ม เนื่องจาก PCE มีความครบวงจรมากกว่าส่งผลต่อความมั่นคงของผลการดำเนินงาน ให้มีความผันผวนน้อยกว่า

บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ประเมินราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 68 ที่ 3.60 บาท อ้างอิงค่า PER ที่ 14 เท่าให้ Premium จากค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 12.4 เท่า เพราะความสามารถการแข่งขันที่เด่นกว่าเพราะมีโลจิสติกส์ของตัวเอง, ฐานะการเงินมั่นคงด้วยสถานะ Net Cash, ผลประกอบการเติบโตสูง ทำให้อัตราส่วน PEG ต่ำเพียง 0.6 เท่า

บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ประเมินราคาเป้าหมายปี 68 ที่ 3.30 บาท ซึ่งสูงกว่าธุรกิจใกล้เคียงกันในไทยและต่างประเทศเล็กน้อยที่ 1.4 เท่า จากความแข็งแกร่งในธุรกิจที่ครอบคลุมเกือบทั้งหมดของ Supply Chain โดยคิดเป็น Forward PER ที่ 17.20 เท่า ในปี 67 และ 12.50 เท่า ในปี 68 ถือว่ายังต่ำเมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตของกําไรในปี 67- 69 ทําให้ PEG ต่ำกว่า 1 เท่า

Back to top button