WTI ปิดร่วง 32 เซนต์ “สหรัฐ” กลับมาผลิตน้ำมันดิบหลังพายุ “เฮอริเคนฟรานซีน” สงบลง

น้ำมัน WTI ปิดร่วง 32 เซนต์ แตะ 68.65 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังหรัฐเริ่มกลับมาผลิตน้ำมันดิบในอ่าวเม็กซิโกอีกครั้งหลังจากพายุเฮอริเคนฟรานซีนสงบลง ฟากนักลงทุนจับตาการประชุม เฟด ในสัปดาห์หน้า


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันศุกร์ (13 ก.ย.) เนื่องจากการผลิตน้ำมันดิบในอ่าวเม็กซิโกของสหรัฐฯ เริ่มกลับมาดำเนินการอีกครั้งหลังจากได้รับผลกระทบจากพายุเฮอริเคนฟรานซีน และการเปิดเผยข้อมูลบ่งชี้ว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นในสัปดาห์นี้

ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 32 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 68.65 ดอลลาร์/บาร์เรล

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 36 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 71.61 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ในรอบสัปดาห์นี้ สัญญาน้ำมันดิบปิดปรับตัวขึ้นหลังจากพุ่งขึ้นอย่างมากเนื่องจากพายุในช่วงต้นสัปดาห์ โดยสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์เพิ่มขึ้นประมาณ 0.8% ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้นประมาณ 1.4%

บ็อบ ยอว์เจอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายฟิวเจอร์สพลังงานที่มิซูโฮในนิวยอร์กกล่าวว่า นักลงทุนเลือกที่จะขายสัญญาน้ำมันก่อนเข้าสู่ช่วงสุดสัปดาห์ เนื่องจากการผลิตและกิจกรรมการกลั่นน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกของสหรัฐฯ กลับมาเริ่มดำเนินการอีกครั้ง

ยอว์เจอร์กล่าวว่า คุณอาจกลับมาดูตลาดในวันจันทร์และพบว่าทุกอย่างกลับมาปกติ – โรงกลั่นน้ำมันทำงานเต็มที่ 100% ทุกคนกลับมาทำงาน น้ำมันกลับมาพร้อมกับน้ำมันเบนซินที่ออกมาจากโรงกลั่น – และตลาดอาจจะร่วงลงอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ ข้อมูลอย่างเป็นทางการแสดงให้เห็นว่า จนถึงวันพฤหัสบดี พายุทำให้การผลิตน้ำมันหยุดลง 42% ในอ่าวเม็กซิโกซึ่งผลิตน้ำมันประมาณ 15% ของการผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ

ขณะที่ ราคาน้ำมันดิบยังได้รับผลกระทบจากการที่ เบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นบริษัทบริการด้านพลังงานของสหรัฐฯ รายงานจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดในรอบ 1 ปี

ส่วนจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซเพิ่มขึ้น 8 แท่นในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 13 ก.ย. เป็น 590 แท่น ซึ่งกลับสู่ระดับของกลางเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่สัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 15 ก.ย. 66

ในสัปดาห์นี้ ทั้งกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ได้ปรับลดการคาดการณ์ความต้องการน้ำมัน โดยระบุถึงปัญหาเศรษฐกิจในประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก

นอกจากนี้ สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงาน (EIA) ของรัฐบาลสหรัฐเปิดเผยเมื่อวันพุธว่า สต็อกน้ำมันของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว เนื่องจากการนำเข้าน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นและการส่งออกลดลง ขณะที่ความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง ส่วนบรรดานักลงทุนจะจับตาการประชุมกำหนดนโยบายการเงิน 2 วันของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า ซึ่งคาดกันว่า เฟดจะประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในวันพุธ (18 ก.ย.)

Back to top button