บล.ฟิลลิป แนะซื้อ WICE อัพเป้าใหม่ 7 บาท รับอัตราค่าขนส่งฟื้นตัว
บล.ฟิลลิป แนะนำ “ซื้อ” WICE ปรับราคาพื้นฐานเป็น 7 บาท จากอัตราค่าขนส่งแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น ด้าน WICE พร้อมลุยงานโครงการขนส่งเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่ง และขนส่งเมล็ดกาแฟดิบจาก OR พร้อมส่งสัญญาณครึ่งปีหลังโตตามแผน หลังอัตราค่าระวางเรือปรับตัวดีขึ้นและปริมาณการขนส่ง คาดรายได้ทั้งปีโตไม่ต่ำกว่า 20%
บริษัท หลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด มหาชน หรือ PST ระบุในบทวิเคราะห์ โดยเบื้องต้นประเมินว่า บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE ในช่วงครึ่งหลังปี 2567 มีแนวโน้มกำไรสุทธิดีขึ้นจากครึ่งแรกของปี 2567 และดีกว่าครึ่งหลังของปี 2566 มาจากฐานต่ำในปีก่อน โดยอัตราค่าขนส่งทั้งทางทะเล และทางอากาศ มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นรวมถึงปริมาณการขนส่งเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลนอกจากนี้จะรับรู้รายได้โครงการใหม่ 2 โครงการและการจัดตั้งบริษัทย่อยเพิ่มแห่งที่ 5 ในจีน และในประเทศฟิลิปปินส์ ปรับกําไรปีนี้ขึ้น 14.8% เป็น 241 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และปรับราคาพื้นฐานเป็น 7.00 บาท ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”
ด้านนายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ WICE ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศแบบครบวงจร เปิดเผยว่า ความคืบหน้าในโครงการต่างๆ เช่น ธุรกิจการให้บริการขนส่งเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่ง จาก สปป.ลาวมายังท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อส่งอกไปยังประเทศญี่ปุ่นนั้นอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมของโรงงานที่ สปป.ลาว คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในช่วงไตรมาส 4 และจะสร้างรายได้ประมาณ 150 ล้านบาทต่อปี ส่วนโครงการให้บริการขนส่งเมล็ดกาแฟดิบจากบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ซึ่งเป็นโครงการทดลองระบบการขนส่งระยะไกลด้วยยานยนต์เชื้อเพลิงไฟฟ้า (EV) ที่จะทยอยรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 3/2567
โดยทำให้แนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังปี 2567 เป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทคาดการณ์ไว้ จากอัตราค่าระวางที่ปรับตัวดีขึ้นและผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว พร้อมปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้นทั้งทางเรือและทางอากาศ ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า ทั้งสหรัฐอเมริกาและประเทศจีน ทำให้เห็นปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับการขยายธุรกิจของบริษัทที่คาดว่าจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ รวมไปถึงการจัดตั้งบริษัทย่อยที่ประเทศฟิลิปปินส์และประเทศจีน เพื่อขยายช่องทางการให้บริการและฐานลูกค้า และการขยายพื้นที่ในการบริหารคลังสินค้าใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทคาดการณ์รายได้ปีนี้จะเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 20% จากปีก่อน
“ปีนี้สถานการณ์ของธุรกิจขนส่งทั้งปริมาณการส่งขนและค่าระวาง น่าจะกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ จากที่ช่วงหลังโควิดค่าระวางปรับขึ้นค่อนข้างแรงและต่อมามีการปรับตัวลงแรงในช่วงปี 66 ซึ่งมองว่าน่าจะเป็นจุดต่ำสุดแล้ว หลังจากนี้น่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ขณะที่ครึ่งปีหลังถือว่าเป็นช่วงไฮซีซัน จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ภาพรวมในปีนี้น่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ไม่น้อยกว่า 20%” นายชูเดช กล่าวทิ้งท้าย