“อินโนเวสท์ เอกซ์” ย้ำเป้า SET ปีนี้ทดสอบ 1,500 จุด แนะเก็บ 5 หุ้นกำไรแกร่ง

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มอง SET ปีนี้ทดสอบ 1,500 จุด และในปี 68 แตะ 1,550 จุด พร้อมแนะลงทุน 5 หุ้นเด่น BDMS-CPALL-GPSC-HANA-LHHOTEL เน้นลงทุนในกลุ่มหุ้นเชิงรับที่กำไรเติบโตแกร่ง


บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เผยถึงภาพรวมตลาดหุ้นไทยปี 2567 ประเมินเป้าหมาย SET Index อยู่ที่ 1,500 จุด ภายในสิ้นไตรมาส 4/2567 รับอานิสงส์จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวในไตรมาส 4/2567 เป็นผลมาจากมาตรการ Digital Wallet เฟส 1 ช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวดีขึ้นกว่าช่วงก่อนหน้า

โดยเน้นลงทุนในกลุ่มหุ้นเชิงรับที่กำไรเติบโต มีคุณสมบัติของหุ้น 4 ประการที่จะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดในไตรมาส 4/2567 โดยที่มองหาหุ้นที่มีฐานะการเงิน (งบดุล ) ที่ดีซึ่งจะช่วยป้องกันผลกระทบจากสภาวะที่มีความไม่แน่นอนสูงและความท้าทายเชิงมหภาคในวงกว้าง และโมเมนตัมเชิงบวกจากการฟื้นตัวของกลุ่มสมารท์โฟน โน้ตบุ๊ค และยานยนต์อย่างต่อเนื่อง

อีกทั้งผลประกอบการฟื้นตัวในไตรมาส 4/2567 จากรายได้ฟื้นตัวและมารจิ้นที่เพิ่มขึ้น และได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและนโยบายสนับสนุนระยะยาว เนื่องจากเศรษฐกิจโลกเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวในช่วงแรก จึงยังคงเลือกหุ้นที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งและมีสัญญาณกำไรฟื้นตัวอย่างชัดเจนในไตรมาส 3/2567

สำหรับครึ่งปีหลังปี 67 มองหาบริษัทที่สามารถเติบโตได้เร็วกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดและรักษาโมเมนตัมของกำไรเอาไว้ได้ โดยชอบบริษัทที่กำไรฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและได้รับประโยชน์จากแนวโน้มเศรษฐกิจภายในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้นและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ดังนั้นจึงเลือก BDMS, CPALL, GPSC, HANA และ LHHOTEL เป็นหุ้นเด่นในไตรมาส 4/2567 ขณะที่ประเมิน SET Index ปี 2568 อยู่ที่ 1,550 จุด

โดยหากมองต่อไปในไตรมาส 4/2567 มีความเสี่ยง 3 ประการ คือ ดอลลาร์อ่อนค่า, การเลือกตั้งสหรัฐอเมริกา และความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นโลกและตลาดหุ้นไทยผันผวนมากขึ้น ความเสี่ยง

ด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ยังมีอยู่ธนาคารกลางต่างๆ อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงไม่เท่ากันในไตรมาส 4/2567 ซึ่งจะทำให้ค่าเงินผันผวน

นอกจากนี้ แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกอ่อนแอลงในไตรมาส 3-4/2567 ซึ่งอาจทำให้ความคาดหวังต่อการเติบโตในปี 2568 ปรับตัวลดลง

นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ กล่าวว่า “ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ประกอบด้วย 1) ทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ว่าจะยังคงขยายตัวได้และไม่เกิดภาวะถดถอย ตามที่ตลาดกำลังคาดการณ์หรือไม่  2) ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องต่อเศรษฐกิจและการเมืองโลก เนื่องจากแนวนโยบายของทั้ง 2 พรรคแตกต่างกัน 3) ทิศทางธุรกิจเทคโนโลยีว่าจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตได้ต่อเนื่องหรือไม่ และ 4) นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในด้านอื่นๆ

ทั้งนี้ มีความเห็นว่าการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยในช่วง เดือน ส.ค – ก.ย.เนื่องจาก “วิกฤตความเชื่อมั่นคลี่คลาย” ส่งผลให้ราคาหุ้นกลับไปสะท้อนปัจจัยพื้นฐาน

นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยว่า “เศรษฐกิจโลกยังคงขยายตัวได้ดี แม้ในระยะถัดไปประเทศหลักจะเริ่มชะลอลงในลักษณะ soft-landing การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเป็นจุดเริ่มต้นให้ธนาคารกลางอื่นๆ เริ่มลดอัตราดอกเบี้ยตาม ช่วยหนุนความน่าสนใจของตลาดหุ้นในตลาดเกิดใหม่ (EM) รวมถึงประเทศไทย

ด้านอัตราเงินเฟ้อยังชะลอตัว เมื่อมองไปข้างหน้าเงินเฟ้อที่มาจากราคาพลังงานมีแนวโน้มลดลงได้ต่อ จากตลาดน้ำมันที่เริ่มกำลังพลิกเข้าสู่ภาวะอุปทานส่วนเกินจากอุปสงค์ที่ชะลอตัว และอุปทานที่เพิ่มต่อเนื่อง

ทั้งนี้แนะนำให้ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจและการจ้างงานสหรัฐฯ หลังการลดดอกเบี้ย เศรษฐกิจของจีนที่อาจไม่เป็นไปตามเป้าหมายของทางการที่ 5% การเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจโลกและการเมืองระหว่างประเทศ สำหรับในประเทศไทยติดตามมาตรการของรัฐบาลใหม่ รวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะเป็นตัวกำหนดความเคลื่อนไหวของ SET Index ในระยะถัดไป

ด้าน ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า ในไตรมาส 4 ปี 2567 เศรษฐกิจ ดอกเบี้ย และการเมืองโลกจะเข้าสู่ยุคใหม่ โดยเศรษฐกิจหลักจะชะลอตัวลง โดยเฉพาะภาคการผลิต ดอกเบี้ยจะเข้าสู่ยุควัฏจักรขาลง หลังจากเฟดลดดอกเบี้ยเชิงรุก ขณะที่การเมืองโลกจะเปลี่ยนแปลงและผันผวน โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่ผู้สมัครประธานาธิบดีทั้ง 2 ฝั่งมีนโยบายเศรษฐกิจต่างกัน

ในส่วนของทิศทางเศรษฐกิจโลกนั้น เศรษฐกิจยุโรปจะขยายตัว 0.8% ในปีนี้ น้อยกว่าสหรัฐฯ ที่ขยายตัว 2.3% เศรษฐกิจจีนจะชะลอลงสู่ 4.8% และญี่ปุ่นจะชะลอลงสู่ 0.0% ด้านเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกชะลอลงจากปัจจัยการเมืองและนโยบายการเงินการคลังตึงตัว

อย่างไรก็ตามการที่รัฐบาลสามารถผลักดันนโยบาย Digital Wallet ได้สำเร็จ ทำให้เศรษฐกิจไทยมีโอกาสฟื้นตัวในไตรมาส 4 โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ 3.5% ขณะที่ทั้งปี 2567 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.5% ด้านคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสลดดอกเบี้ย 1.0% ในปี 2567 และ 2568 เพื่อสนับสนุนการเติบโต นอกจากนั้นการลดดอกเบี้ยจะช่วยลดการแข็งค่าของเงินบาทด้วยเช่นกัน”

ขณะที่ นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เผยถึง “กลยุทธ์การลงทุนไตรมาส 4 ปี 2567 คาดว่าตลาดจะมีความผันผวนสูงจากปัจจัยกดดันจากภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่โพลสำรวจยังค่อนข้างสูสี ขณะที่นโยบายของผู้สมัครทั้ง 2 ฝ่าย มีความแตกต่างกันอย่างมาก

อย่างไรก็ตามการลดดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลดีต่อตลาดเกิดใหม่ (EM) ที่เศรษฐกิจยังคงเติบโตดีเมื่อเทียบกับตลาดพัฒนาแล้ว (DM) ส่วนดอลลาร์ที่อ่อนค่าจะช่วยหนุนให้เม็ดเงินไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ (EM) และประเทศไทย ด้านปัจจัยในประเทศยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการออกนโยบายเพิ่มการกระตุ้นเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของรัฐบาลใหม่ ทำให้ SET Index ยังจะสามารถปรับตัวขึ้นได้ท่ามกลางความผันผวน

ในขณะที่หุ้นต่างประเทศภายหลังจากเฟดมีการปรับลดดอกเบี้ย เพื่อช่วยลดทอนผลกระทบจากเศรษฐกิจและการจ้างงานที่เริ่มชะลอตัวในภาวะที่เศรษฐกิจยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงยังคงมีความน่าสนใจ

โดยหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากภาวะดอกเบี้ยขาลง ได้แก่

กลุ่มซ่อมแซมตกแต่งบ้าน (HD, LOW)

กลุ่มพลังงานสะอาด (FSLR, ENPH )

หุ้นที่มี Valuation ไม่แพงและปันผลสูง (VZ, PFE, F, TGT)

หุ้นเทคโนโลยีที่ผลประกอบการยังมีแนวโน้มดี (MSFT, AMD, CRM, PANW, NVDA)

นอกจากตลาดสหรัฐเรามองว่าการลงทุนต้องเน้นเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดีมากกว่าประเด็นความถูกของการประเมินมูลค่าหุ้น โดยในตลาดยุโรปเรามองหุ้นที่เน้นไปยังพลังงานสะอาดและได้ Sentiment จากดอกเบี้ยขาลงอย่าง Iberdrola และ Enel

นายวิศกรณ์ คีรีวรรณ, CFA, ผู้อำนวยการ Investment Strategist ฝ่าย Wealth Products & Strategy บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวทิ้งท้ายว่า สถานการณ์การลงทุนในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 นั้นเต็มไปด้วยความผันผวนและคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในไตรมาสสุดท้ายของปี ไปจนกว่าเหตุการณ์สำคัญ 3 เหตุการณ์จะสิ้นสุดลง ได้แก่ 1. ผลกระทบของการลดดอกเบี้ยเฟดในครั้งแรก 2. ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 3. การปรับลดมุมมองความคาดหวังด้านการเติบโตในหุ้นขนาดใหญ่

Back to top button