โบรกมอง 7 แบงก์โกยกำไร Q3 กว่า 5.42 หมื่นล้าน ชู KTB-BBL เด่นสุด
พรีวิวงบ 7 แบงก์ไตรมาส 3/67 โบรกมองกำไรแตะ 5.42 ล้านบาท โต 7.50% จากปีก่อน พร้อมชู KTB-BBL เด่นสุด ขณะที่ TISCO น่าจะมีผลประกอบการที่แย่ที่สุด
บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ FSS ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ ประเมินว่าธนาคารทั้ง 7 แห่งที่ทำการศึกษาจะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 รวมเพิ่มขึ้น 1.30% จากไตรมาสก่อน และ 7.50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 5.42 หมื่นล้านบาท โดยน่าจะฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนจาก Non-NII ที่สูงขึ้น โดยเฉพาะจากรายได้ค่าธรรมเนียม ECL ที่ลดลงและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ค่อนข้างทรงตัว สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้รวมน่าจะทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 43.50% กำไรก่อนสำรอง (PPOP) น่าจะทรงตัวจากไตรมาสก่อน แต่สูงขึ้น 2.50% จากปีก่อน เป็น 1.16 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยคาดการณ์ว่าธนาคารทั้งหมดจะรายงานกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นยกเว้น TISCO, BBL, และ KBANK ซึ่งน่าจะรายงานตัวเลขลดลง ทั้งนี้ KKP และ SCB น่าจะรายงานผลประกอบการที่ดีที่สุดในขณะที่ TISCO น่าจะมีผลประกอบการที่แย่ที่สุด
ด้านคุณภาพสินทรัพย์รวมมีความน่ากังวลลดลงในไตรมาส 3/67 โดยไม่มีสัญญาณที่น่ากังวลเกี่ยวกับสินเชื่อขนาดใหญ่ แม้การก่อตัวของหนี้ด้อยคุณภาพใหม่และสินเชื่อขั้นที่ 2 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 2/67 หลังเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าและไม่สม่ำเสมอ รวมถึงระดับหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง
อย่างไรก็ดีมองว่าปัจจัยดังกล่าวอยู่ในระดับที่จัดการได้ ทั้งนี้ธนาคารบาง แห่ง (KBANK, KTB และ TTB) ได้บริหารเชิงรุกและรักษาต้นทุนความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อ (Credit cost) ไว้ในระดับสูงในไตรมาส 3/67 ยกเว้น BBL, SCB, TISCO, และ KKP ดังนั้นสัดส่วนหนี้ด้อยคุณภาพจึงน่าจะทรงตัวที่ 3.68% ในขณะที่ Credit cost น่าจะลดลงเล็กน้อยเป็น 157bp ซึ่งจะช่วยรักษาสัดส่วนสำรองต่อหนี้ด้อยคุณภาพไว้ที่ 185%
โดยคาดการณ์กำไรสุทธิปี 67 รวมอยู่ที่ 2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.60% จากปีก่อน ส่วนมากจากฐานที่สูงในปี 66 การเติบโตของสินเชื่อที่ชะลอตัวจากการใช้ความระมัดระวังในด้านคุณภาพสินเชื่อรวมถึง ECL และ Credit cost ที่ทรงตัวในระดับสูง สำหรับในปี 68-69 คาดการณ์ว่า Upside risk ต่อประมาณการอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิของฝ่ายวิจัยที่ 5.70-6.80% จากปีก่อน ซึ่งคิดจากสมมติฐานสินเชื่อและการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมที่ Conservative รวมถึง Credit cost ที่ค่อย ๆ ลดลง ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยยังไม่ได้รวมปัจจัยบวกต่อประมาณการที่คาดการณ์ว่าจะได้จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐที่กำลังจะมาถึง
พร้อมกันนี้ ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักเป็นเท่ากับตลาด (จากน้อยกว่าตลาด) โดยมีปัจจัยผลักดันจากปัจจัยบวกที่กำลังจะเกิดขึ้นซึ่งน่าจะช่วยหนุนการเติบโตของกำไรสุทธิในปี 68-69 นอกจากนี้การก่อตั้งกองทุนวายุภักษ์และ Thai ESG จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหนุน คาดการณ์ว่าผลตอบแทนในรูปเงินปันผลน่าจะเพิ่มสูงขึ้น
โดยคาดการณ์ว่าส่วนมากจะเพิ่มเป็น 5.20-5.70% เทียบกับ 2.50-4.50% ใน 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้หุ้นเด่นของฝ่ายวิจัยประกอบด้วย KTB (ราคาเป้าหมาย 23.50 บาท) และ BBL (ราคาเป้าหมาย 184 บาท) ซึ่งน่าจะได้ประโยชน์มากที่สุดจากรอบการลงทุนใหม่ นอกจากนี้ยังแนะนำซื้อ KBANK (ราคาเป้าหมาย 173 บาท) ซึ่งจะได้ประโยชน์จากรอบการลงทุนใหม่เช่นกัน และ TTB (ราคาเป้าหมาย 2.53 บาท) จากผลตอบแทนในรูปเงินปันผลที่น่าสนใจที่ 6-7% ต่อปี