“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” แนะผู้ส่งออกรับมือ “เงินบาท” ชี้แข็งค่าทุก 1% กระทบรายได้ 1 แสนล้าน

“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” มองเงินบาทค่อนข้างผันผวนในปีนี้ และปลายปีนี้จะแข็งค่าแตะระดับ 34.50 บาท พร้อมแนะนำให้ผู้ส่งออกหาแนวทางรับมือ หลังมือว่าทุกการแข็งค่าทุก 1% จะกระทบรายได้ปีละ 1 แสนล้านบาท


ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (24 ก.ย.67) มองว่า การเคลื่อนไหวของเงินบาทค่อนข้างผันผวนนับจากต้นปี 2567 โดยเริ่มต้นปีด้วยการทยอยอ่อนค่าไปแตะระดับ 37.17 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงปลายเดือนเมษายน 2567 (ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 6 เดือนครึ่งในเวลานั้น) ท่ามกลางจังหวะที่ตลาดมองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่งน่าจะทำให้เฟดเลื่อนเวลาการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไป

กอปรกับสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศของไทยที่ยังอ่อนแอ กระตุ้นให้มีกระแสเงินทุนไหลออกจากทั้งในส่วนของตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ไทย สถานการณ์เงินบาทเริ่มพลิกผันกลับมาแข็งค่าขึ้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 จนทะลุแนว 34.00 บาท ไปแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 13 เดือนที่ 33.88 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในเดือนสิงหาคม 2567 หลังประธานเฟดส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับการเตรียมปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 นโยบาย หลังข้อมูลกิจกรรมทางเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของสหรัฐฯ เริ่มมีภาพอ่อนแอลง

ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ที่อ่อนค่าและสถานการณ์ความไม่แน่นอนในตะวันออกกลางดันให้ราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ ซึ่งเพิ่มแรงหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอีกทางหนึ่ง

สำหรับแนวโน้มในระยะสั้น หรือประมาณ 1-2 เดือนจากนี้ มองว่า หาก Sentiment ของเงินดอลลาร์ฯ ที่อ่อนแอจากเรื่องแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดยังคงมีต่อเนื่อง อาจเห็นเงินบาทแข็งค่าแตะระดับ 33.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ได้ (คาดการณ์โดยสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคาร กสิกรไทย)

โดยตลาดคาดการณ์ว่า เฟด น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงทุกรอบการประชุม FOMC ใน 3 รอบการประชุมที่เหลือของปีนี้ ประมาณ 0.75-1.00% เทียบกับโอกาสการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ในขณะนี้ตลาดคาดการณ์ว่า อาจเกิดขึ้น ประมาณ 1 ครั้งในปีนี้

ด้านปัจจัยในประเทศ แม้จะมีภาพเป็นบวกมากขึ้นเมื่อมีทีมรัฐบาลชุดใหม่ ควบคู่วิสัยทัศน์เชิงนโยบายที่ชัดเจน แต่ต้องรอบทสรุปอย่างเป็นทางการของนโยบายรัฐบาลใหม่ และการให้รายละเอียดในทางปฏิบัติที่ชัดเจนขึ้น ดังนั้นทิศทางค่าเงินบาทในช่วงท้ายปี 2567 จึงยังมีโอกาสแกว่งตัวตามสถานการณ์และข้อมูลเศรษฐกิจที่จะเข้ามาเพิ่มเติม

โดยอาจมีการปรับฐานเป็นบางช่วง ทำให้คาดการณ์ว่าเงินบาทจะปิดปี 2567 ที่ประมาณ 34.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ (ปรับจากคาดการณ์เดิมที่มองไว้ที่ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ภายใต้สมมติฐานเดิมที่มองว่าเฟดอาจเริ่มลด 3 ดอกเบี้ยช้า)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เงินบาทที่แข็งค่าทุกๆ 1% อาจมีผลกระทบต่อรายได้ผู้ส่งออกเกือบ 1 แสนล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นกว่า 0.50% ของ Nominal GDP

ทั้งนี้ แม้สภาวะเงินบาทที่ผันผวนจะไม่กระทบกลไกการตั้งราคาสินค้าส่งออกที่มักจะอยู่ในรูปของเงินดอลลาร์ฯ มากนัก แต่คงต้องยอมรับว่า การแข็งค่าของเงินบาทอาจมีผลกระทบต่อเนื่องมายังผู้ประกอบการ โดยเฉพาะฝั่งผู้ส่งออกที่มีรายได้ในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศ เพราะจะทำให้รายได้เมื่อแปลงกลับมาเป็นรายได้สกุลเงินบาทลดลง ซึ่งผลกระทบจะยิ่งชัดเจนขึ้นในกรณีที่ผู้ส่งออกดังกล่าว พึ่งพิงวัตถุดิบจากในประเทศเป็นหลัก (สัดส่วน Import Content ต่ำ) เพราะเป็นกลุ่มที่ไม่สามารถ ใช้กลไก Natural Hedge เพื่อบรรเทาผลกระทบได้ตัวอย่างธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ได้แก่ ยางและพลาสติก รถยนต์ และการผลิตอาหาร

นอกเหนือจากทิศทางเงินบาทแข็งค่าจะกลับมาเป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีผลต่อรายได้ของผู้ส่งออกใน จังหวะเข้าสู่ High Season ของการส่งออกไทยในไตรมาส 3 แล้วนั้น อีกประเด็นที่น่ากังวล เช่นกัน คือ ความผันผวนของค่าเงินที่สะท้อนผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจ ดอกเบี้ย และ การเมืองระหว่างประเทศที่ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว

ความผันผวนของค่าเงินดังกล่าว ปรากฏขึ้นทั้งกรณีเงินบาท เทียบกับสกุลเงินหลักต่างๆ ไม่ว่าจะ เป็นดอลลาร์ฯ เยน ยูโร และหยวน โดยอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ เงินเยน และเงินหยวนมีระดับความผันผวนของค่าเงินนับจากต้นปี 2567 สูงกว่าค่าเฉลี่ยช่วง 5 ปีก่อนโควิด (ปี 2558-2562) ซึ่งหากพิจารณาคู่กับสัดส่วนการชำระเงินสกุลต่างๆ เทียบกับมูลค่า 4 ส่งออกและนำเข้ารวมนั้น จะเห็นว่าการส่งออก-นำเข้าด้วยสกุลเงินหยวน มีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการที่ค้าขายในสกุลเงินหยวนจำเป็นต้องตื่นตัวต่อความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน เพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกัน แม้เงินดอลลาร์ฯ จะลดบทบาทลงในการชำระเงินด้านการค้าระหว่าง ประเทศแต่ยังมีสัดส่วนสูงที่สุดถึง 75.3% กรณีชำระเงินค่าสินค้าออก และ 80.40% กรณีชำระเงินค่าสินค้าเข้า ณ ไตรมาส 2/2567 ดังนั้น ผู้ประกอบการที่ทำธุรกรรมสกุลเงินดอลลาร์ฯ ยังจำเป็นต้องใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเช่นกัน

สุดท้ายนี้ เนื่องจากความผันผวนของค่าเงินที่เพิ่มขึ้น กลายเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตามความซับซ้อนของปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองโลก ดังนั้น ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ส่งออก-ผู้นำเข้า ที่มีรายรับ-รายจ่ายในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศ จึงต้องให้ ความสำคัญกับการใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน เช่น Forward, Options, Futures นอกจากนี้ควรกระจายตลาดส่งออกและแหล่งนำเข้าเพื่อลดความเสี่ยง หลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคา โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มคุณภาพสินค้าและบริการให้เหนือคู่แข่ง เลือกใช้เงินสกุล ท้องถิ่น (Local Currency) ตลอดจนบริหารจัดการรายได้และต้นทุน และลดความเสี่ยงจาก FX ด้วยวิธีอื่นๆ เช่น Natural Hedge หรือ Foreign Currency Deposits (FCD) เป็นต้น

Back to top button