โบรกคัด 5 หุ้น เม็ดเงิน “กองทุนวายุภักษ์” ไหลเข้า หนุนอัพไซด์เชิงพื้นฐานกว่า 10%
โบรกคัดหุ้นได้ประโยชน์ “วายุภักษ์” เริ่มทยอยเข้าตลาดเดือนต.ค. หนุนฟันด์โฟลว์ไหล อัพไซด์เชิงพื้นฐานกว่า 10% เพื่อลดความเสี่ยง NVDR ขายทำกำไร
บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (30 ก.ย.67) ว่าเม็ดเงินวายุภักษ์วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท จะทยอยเข้ามาในตลาดหุ้นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 คาดการณ์ว่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนต่อ SET Index อยู่ในรอบปรับขึ้น
แต่เนื่องจาก SET Index บวกไป 12% ตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคมไปจนถึง 27 กันยายน 2567 หนุนหลักมาจากต่างชาติที่ซื้อสุทธิ 2.6 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการซื้อสุทธิใน NVDR รวม 2.1 หมื่นล้านบาท
หากพิจารณาเฉพาะหุ้นที่ถูกซื้อสุทธิใน NVDR พบว่าเม็ดเงิน 75% ซื้อหุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 เดิม สะท้อนถึงมีการเก็งกำไรล่วงหน้าบ้างแล้ว การเลือกลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากกองทุนวายุภักษ์จากนี้ จึงต้อง Selective เพื่อลดความเสี่ยง NVDRขายทำกำไร
โดยในทางกลยุทธ์ทางฝ่ายวิจัยคัดกรองหุ้นที่เม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์เข้าหนุนมี Upside ในเชิงพื้นฐานมากกว่า >10% และเป็นหุ้น NVDR ซื้อสุทธิแต่กำไรไม่มาก (กำไรน้อยกว่า 5%) จะได้หุ้นน่าสนใจเช่น บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN, บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK, บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM, บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF เป็นต้น
ส่วนหุ้นไม่ควรไล่ราคาเนื่องจากไม่มี Upside ในเชิงพื้นฐานประกอบกับ NVDR ยังกำไรระดับสูง (>5%) เช่น บริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) หรือ BSRC, บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ BLA, บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM และบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI เป็นต้น
นอกจากนี้ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มองเม็ดเงินใหม่ที่จะเข้ามาหนุนตลาดในงวดไตรมาส 4/67 มีนัยสำคัญ โดยการลงทุนกองทุนวายุภักษ์ที่กระจายมากขึ้นสู่หุ้นที่มี ESG Score สูงๆ จะหนุนมีทั้งฝั่งวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาท และเม็ดเงินการลงทุนลดหย่อนภาษีกองทุน Thai ESG ซึ่งเกณฑ์มีความจูงใจ (ลดหย่อนได้ 30% ของรายได้ วงเงินสูง 3.0 แสนล้านบาท แยกจากวงเงินลดหย่อนภาษีรูปแบบเดิม) จะได้รับความนิยมมากขึ้น โดยรวมมองเม็ดเงินลงทุนเร่งขึ้นในช่วงไตรมาส 4/67 สูงถึงราว 1.7-1.8 แสนล้านบาท
ทั้งนี้กลยุทธ์การลงทุนแนะนำลงทุนหุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์และอยู่ใน Thai ESG ใน 5 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่คลังถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีเติบโตดี 2567 – 2568 คือ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT, ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT
กลุ่มที่ 2 หุ้นอยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone การเติบโตดี คือ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC, บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT, บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC, บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO, บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC, บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Dividend yield ในปี 2567-2568 สูงมากกว่า 5% และอยู่ใน ThaiESG คือ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK, ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL, HMPRO, บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AAขึ้นไป การเติบโตปี 2567-2568 เกณฑ์ดี คือ CPALL, บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXTT, บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS, CRC, HMPRO, บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL, บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC, บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC, บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ใน Thai ESG หุ้น (KBANK, BBL,HMPRO, INTUCH)