IAA แนะสอย 4 หุ้นท็อปพิก! ควรเลี่ยงลงทุน “กลุ่มยานยนต์”
IAA คาดเป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปี 2567 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,494 จุด ขณะที่มอง SET ปี 68 แตะ 1,634 จุด พร้อมแนะนำลงทุน 4 หุ้นเด่น AOT-BDMS-CPALL-GPSC รับกระตุ้นการท่องเที่ยว ดอกเบี้ยขาลง และโครงการดิจิทัลวอลเล็ตหนุน แนะเลี่ยงหุ้นกลุ่มยานยนต์ยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจน
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน แถลงผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนต่อมุมมองในด้านการลงทุนและคาดการณ์ทิศทางดัชนีราคาหุ้นไทย (SET Index) โดยครั้งนี้มีผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด 25 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์จำนวน 20 บริษัท บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจำนวน 3 บริษัท และบริษัทโกลด์ฟิวเจอร์ส 2 บริษัท ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
สมมติฐาน GDP ปี 67 นั้นผู้ตอบทุกรายมองว่าเป็นบวก ผู้ตอบที่ให้ตัวเลขต่ำสุดคือ 2.40% ตัวเลขสูงสุดคือ 2.8% โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.62% ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อน (ก.ค.67) ซึ่งเคยใช้สมมติฐานที่ 2.64%
ส่วนสมมติฐาน GDP ปี 68 นั้นมีความเห็นต่างกันพอสมควร โดยผู้มองต่ำสุดที่ 2.4% ส่วนผู้ที่มองสูงสุดอยู่ที่ 3.5% โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.01%
ทางด้านสมมติฐานราคาน้ำมัน มีค่าเฉลี่ยของผู้ตอบแบบสอบถามที่ 79.50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยแยกตามกลุ่ม มีผู้ตอบดังนี้
70 – 74.99 เหรียญสหรัฐ มีผู้ตอบร้อยละ 9.09
75 – 79.99 เหรียญสหรัฐ มีผู้ตอบร้อยละ 31.82
80 – 84.99 เหรียญสหรัฐ มีผู้ตอบร้อยละ 50
85 – 89.99 เหรียญสหรัฐ มีผู้ตอบร้อยละ 9.09
ทั้งนี้ Risk Free Rate ที่ใช้ในการประเมินมูลค่าจากผู้ตอบ มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.65% และทางด้านสมมติฐาน Risk Premium ของตลาด ที่ใช้ในการประเมินมูลค่า อยู่ที่ 7.76%
ผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน เมื่อให้มองยาวไปจนถึงสิ้นปี 2567 ปัจจัยที่มีผลบวกต่อดัชนีราคาหุ้นไทยในปี 2567 ผู้ตอบแบบสำรวจ 100% เท่ากัน เทคะแนนให้อย่างชัดเจนว่าเป็นผลบวก ได้แก่ Fund Flows จากต่างประเทศสู่ตลาดหุ้นไทย และกองทุนวายุภักษ์ รองลงมาผู้ตอบ 96% เท่ากันโหวตให้มาตรการแจกเงิน 10,000 บาท และทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยผลประกอบการของ บจ.ปี67 ผู้ตอบ 88% และภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ มีผู้ตอบ 72% ตามลำดับ
ส่วนปัจจัยที่จะส่งผลในด้านลบต่อตลาดทุนไทยในขณะนี้จนถึงสิ้นปี 2567 ปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศ ผู้ตอบ 64% มองว่าเป็นผลลบ รองลงมาทุกปัจจัยที่มีผลโหวตต่ำกว่า 50% ของจำนวนผู้โหวต เช่น การลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก มีผู้ตอบ 40% ตามมาด้วยปัจจัยด้านเศรษฐกิจโลก 36% ของผู้ตอบทั้งหมด ตามลำดับ
สมาคมนักวิเคราะห์ฯ ได้สอบถามความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนเกี่ยวกับ ข้อเสนอแนะว่ารัฐบาลควรมีนโยบายเรื่องใดที่มีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ คุ้มค่ากับผลกระทบทางงบประมาณ ส่วนใหญ่เสนอให้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แยกเป็นร้อยละ 65 ของผู้ตอบ เสนอให้เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ต่อยอด Tourism Province & Connects รวมทั้งการลงทุนภาครัฐที่หนุนศักยภาพ การเติบโตทางเศรษฐกิจ สนับสนุนอุตสาหกรรม New S-Curve ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ถัดมาจำนวนร้อยละ 20 ของผู้ตอบ เสนอด้านการช่วยเหลือภาคธุรกิจ ได้แก่ นโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยว ดึงดูดการลงทุนต่างชาติ สนับสนุนโครงการลงทุนใหม่ๆ เช่น
Entertainment Complex รวมทั้งออกมาตรการ soft loan และ refinance ให้ SMEs และร้อยละ 15 ของผู้ตอบ เสนอให้ช่วยเหลือภาคประชาชนได้แก่ การปรับโครงสร้างหนี้รายย่อย / ครัวเรือน มาตรการลดภาษี และสนับสนุนค่าเล่าเรียนเพื่อจูงใจคนรุ่นใหม่มีลูกเพิ่ม
ด้านคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ในปี 2567 มีนักวิเคราะห์ร้อยละ 48 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 2.25% และมีผู้ตอบร้อยละ 43 มองว่าอยู่ที่ 2.50% และร้อยละ 9 มองว่าปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาอยู่ที่ 2% ตามลำดับ
ส่วนคาดการณ์การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ในสิ้นปี 2568 นั้นมีความเห็นต่างกันพอสมควร โดยผู้ตอบร้อยละ 46 คาดว่าจะอยู่ที่ 2% รองลงมาผู้ตอบร้อยละ 25 มองว่าปรับลดลงมาที่ 1.75% ถัดมาผู้ตอบร้อยละ 13 มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายคงที่ที่ 2.50% และร้อยละ 8 มองว่าปรับลดเพียงเล็กน้อยที่ 2.25% มีเพียงผู้ตอบร้อยละ 8 ที่คาดว่าจะปรับลดลงที่ 1.50%
คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2567 ของตลาดเฉลี่ยที่ 89.91 บาท ปรับลดจากผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 91.4 บาทต่อหุ้น โดย แยกตามกลุ่มมีผู้ตอบดังนี้
80 – 89.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 30
90 – 99.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 70
ส่วนคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2568 ของตลาดเฉลี่ยที่ 98.65 บาท โดยแยกตามกลุ่มมีผู้ตอบดังนี้
90 – 99.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 45
100 – 109.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 55
EPS Growth ของปี 2567 คาดว่า EPS Growth เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 12.18 เมื่อแยกตามช่วงระดับการเติบโต จะอยู่ระหว่างร้อยละ
1 ถึง 9.99 มีผู้ตอบร้อยละ 36.84
10 ถึง 19.99 มีผู้ตอบร้อยละ 52.63
20 ถึง 29.99 มีผู้ตอบร้อยละ 10.53
ทั้งนี้นักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุนคาดเป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปี 2567 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,494 จุด
สำหรับจุดสูงสุดของ SET Index ช่วง ม.ค. – ธ.ค. 68 เฉลี่ยที่ระดับ 1,634 จุด ทั้งนี้มีผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 68.75 ที่คาดว่าดัชนีจะทำจุดสูงสุด 1,601 – 1,700 จุด รองลงมาผู้ตอบร้อยละ 18.75 คาดว่าอยู่ในช่วง 1,501 – 1,600 โดยมีผู้ตอบร้อยละ 6.25 เท่ากันที่คาดว่าจุดสูงสุดจะอยู่ในช่วง 1,401 – 1,500 และ 1,701 – 1,800
เมื่อมองจุดต่ำสุดของปี 2568 นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน คาดการณ์จุดต่ำสุดของดัชนีราคาหุ้นไทย (SET Index) ช่วงม.ค. – ธ.ค. 68 มีค่าเฉลี่ยจุดต่ำสุดที่ 1,365 จุด และคาดการณ์เป้าหมายดัชนีสิ้นปี 2568 อยู่ที่ 1,614 จุด
โดยหมวดธุรกิจในการลงทุนหุ้นไทยในไตรมาส 4 แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในหมวดธุรกิจค้าปลีก Finance การท่องเที่ยว และเทคโนโลยี ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดเกษตร ยานยนต์ พลังงานและปิโตรเคมี
สำหรับความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนเกี่ยวกับการจัดพอร์ตการลงทุน แนะนำ ให้มีเงินสด / เงินฝากระยะสั้นร้อยละ 6.43 ของพอร์ต และมีกองทุนตราสารหนี้ร้อยละ 20.30
ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงนั้น แนะนำให้แบ่งเงินลงทุนไว้ในหุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทยร้อยละ 32.22 รองลงมาลงทุนในหุ้นต่างประเทศหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ ร้อยละ 23.65 ตามมาด้วยการแบ่งเงินลงทุนไว้ในกองทุนอสังหา / REIT ที่ร้อยละ 9.04 และทองคำ / กองทุนทองคำ ที่ร้อยละ 8.35
โดยความเห็นต่อการลงทุนหุ้นต่างประเทศ/กองทุนหุ้นต่างประเทศ แนะนำกองทุนหุ้นสหรัฐฯโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี-AI และ Healthcare Selective Asia เช่น จีน อินเดีย เวียดนาม
รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำโดยมีจำนวนสำนักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป มีดังนี้ (เรียงชื่อตามอักษรย่อ)
1.AOT ได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว อีกทั้งผู้โดยสารระหว่างประเทศที่จะเพิ่มขึ้นในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี
2.BDMS ได้ประโยชน์จากคนไข้ต่างชาติเพิ่มขึ้นและสังคมสูงวัยที่ใหญ่ขึ้น
3.CPALL ได้ประโยชน์จากการจับจ่ายใช้สอยที่ฟื้นตัวและได้อานิสงส์จากโครงการดิจิตอล Wallet เศรษฐกิจและการบริโภคฟื้นตัวจากเงินหมื่น
4.GPSC โดยมองว่าได้แรงหนุนจากทิศทางดอกเบี้ยขาลง และ โครงการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานสะอาดในรูปแบบการทำสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง (Direct Power Purchase Agreement: Direct PPA) ที่จะดึงดูดต่างชาติเข้ามาลงทุน
สำหรับหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ หุ้นกลุ่มยานยนต์ยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจน หุ้นกลุ่มธนาคาร และส่งออกที่อาจย่อตัว หลังขึ้นมาแรงในช่วงก่อนหน้า