จับตา MSCI ปรับพอร์ตหุ้นไทย 6 พ.ย.นี้ ลุ้น IVL-MTC เข้า Global Standard รอบใหม่

MSCI รอบใหม่ประกาศ 6 พ.ย. และมีผล 26 พ.ย. 67 มีลุ้นเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย จับตา IVL-MTC โอกาสสูงเข้าคำนวณ Global Standard รอบใหม่ แนะเก็งกำไร IVL เป้าราคา 34 บาท ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดหุ้นไทยไตรมาสสุดท้าย กำไรบจ.ออกมาดี


นายกรภัทร วรเชษฐ์ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS เปิดเผยว่า ทีมกลยุทธ์ของ KSS ได้คาดการณ์หุ้นเข้าและออก หรือ MSCI Rebalance รอบเดือน พ.ย. 2567 โดยมีโอกาสเป็นจุดเริ่มต้นของการเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยใน MSCI ด้วย และคาดการณ์เบื้องต้นสำหรับหุ้นที่จะเข้าและออกดัชนี MSCI Global Standard Index รอบเดือน พ.ย. โดย MSCI จะใช้ราคาปิดในช่วงปลายเดือน ต.ค. เป็นตัวตัดสิน ประกาศผลวันที่ 6 พ.ย. 2567 และมีผลวันที่ 26 พ.ย. 2567

สำหรับหุ้นที่มีโอกาสถูกคำนวณเข้า MSCI Rebalance ได้แก่ บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL (โอกาสปานกลาง) บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC (โอกาสต่ำ) ขณะที่หุ้นออกไม่มี ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์ แนะนำ “เก็งกำไร” IVL ราคาเป้าหมาย 34 บาท

ขณะเดียวกัน บล.กรุงศรี ได้คาดการณ์หุ้นที่คาดว่าจะถูกนำเข้าคำนวณใน SET50 และ SET100 รวมถึงหุ้นที่ถูกถอดออกในรอบครึ่งแรกปี 2568 ด้วยการใช้ข้อมูล ณ สิ้นเดือน ก.ย. โดยประเมินว่าหุ้นที่คาดว่าจะถูกคำนวณเข้า SET50 ได้แก่ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU (โอกาสเข้า 90%), บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD (โอกาสเข้า 90%), บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 (โอกาสเข้า 90%) และบริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP (โอกาสเข้า 70%)

สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะถูกถอดออกจาก SET50 ได้แก่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP (โอกาสหลุด 70%), บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR (โอกาสหลุด 70%), บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL (โอกาสหลุด 90%) และบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA (โอกาสหลุด 100%)

ขณะที่หุ้นที่คาดว่าจะถูกคำนวณเข้า SET100 ได้แก่ บริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CCET (โอกาสเข้า 90%), บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ COCOCO (โอกาสเข้า 70%), บริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ JTS (โอกาสเข้า 70%)

หุ้นที่คาดจะถูกถอดออกจาก SET100 ได้แก่ บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPH (โอกาสหลุด 70%), บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) หรือ MBK (โอกาสหลุด 90%), บริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ RBF (โอกาสเข้า 100%)

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ MSCI จะเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย เพราะที่ผ่านมาจำนวนบริษัทและน้ำหนักใน MSCI ลดลง โดยมี 2 ส่วน คือ 1.มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ได้แก่ อินเดีย เข้ามาเบียดประเทศอื่นออก 2.ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ปัจจุบันหุ้นไทยเริ่มเป็นขาขึ้น จึงมีความเป็นไปได้ที่จำนวนหุ้นที่จะกลับเข้ามาใน MSCI มีมากขึ้น น้ำหนักก็จะสะท้อนตามดัชนี

ขณะที่ นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ยังมีความหวังที่ดีอยู่ ซึ่งปัจจัยหลายๆ อย่างในประเทศมีมุมมองของตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ยังเป็นบวกอยู่ และสัปดาห์หน้าก็จะเริ่มมีการทยอยประกาศงบของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) งวดไตรมาส 3/2567 ซึ่งทิศทางที่ออกมาคาดจะดีต่อเนื่อง

ส่วนที่อาจต้องให้ความสำคัญ คือ ปัจจัยภายนอกประเทศ มีทั้งเป็นปัจจัยบวกและปัจจัยลบ โดยประเทศจีนก็มีการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ค่อนข้างดี ซึ่งก็ต้องมาดูผลกระทบกับบางธุรกิจของบ้านเราอย่างไร ขณะที่สถานการณ์ในตะวันออกกลางก็เป็นปัจจัยที่ยังต้องจับตาอยู่ จึงอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนอาจปิดความเสี่ยงหรือนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยก่อนได้ โดยแนะนำนักลงทุนควรดูข้อมูลให้ครบถ้วน

ขณะที่ ฟันด์โฟลว์คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นหรือทรงตัวจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีปัจจัยที่เห็นชัดเจนว่าทำให้ฟันด์โฟลว์ต่างชาติลดลง และความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยก็ยังมี ในส่วนของกองทุนรวมวายุภักษ์ก็อยู่ในช่วงเพิ่งเริ่มต้นลงทุน หลังจากระดมทุนมาได้ประมาณ 1.5 แสนล้านบาท โดยหลังจากนี้เม็ดเงินก็คงทยอยเข้ามามากขึ้น

ส่วนกองทุน TESG โมเมนตัมกำลังเริ่มมา เพราะเข้าใกล้ช่วงสิ้นปีนี้แล้ว เพราะคนจะต้องบริหารจัดการในการลงทุนมากขึ้น

นายอัสสเดช กล่าวอีกว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแนวทางที่จะรักษาความสมดุลของสัดส่วนผู้ลงทุนทุกกลุ่ม ทั้งนักลงทุนรายย่อย สถาบัน และต่างประเทศ ที่ผ่านมาให้การได้สนับสนุนนักลงทุนในประเทศเป็นหลัก ผ่านการทำโครงการ “ตลาดหลักทรัพย์ฯ สัญจร” ในต่างจังหวัด เพื่อให้ความรู้และให้มีการเข้าถึงตลาดทุนไม่กระจุกตัวเพียงเฉพาะแค่คนเมือง ทั้งนี้จากการจัดงาน “ตลาดหลักทรัพย์ฯ สัญจร” ทั้งในจังหวัดเชียงใหม่และขอนแก่น พบว่าได้รับการตอบรับดีกว่าที่คาดไว้ และนักลงทุนรุ่นใหม่ให้ความสนใจค่อนข้างมาก ขณะที่ยอดเปิดบัญชีใหม่นับตั้งแต่ต้นปี 2567 อยู่ที่ราว 200,000-300,000 บัญชี

ขณะเดียวกัน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีการนัดคุยกับสถานทูตและนักลงทุนต่างประเทศ โดยพบว่านักลงทุนต่างประเทศยังให้ความสนใจลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนี้ได้มีการปรึกษาสมาคมบริษัทจัดการลงทุนในหลายประเด็น โดยเฉพาะการสนับสนุนเพื่อออกกองทุนใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง ESG รวมถึงมีความร่วมมือระหว่างบลจ.และตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อให้ความรู้นักลงทุนเกี่ยวกับกองทุน ThaiESG อย่างต่อเนื่อง พร้อมเชื่อว่าเกณฑ์การประเมินด้าน ESG จะมีบทบาทมากขึ้นในอนาคต สำหรับนักลงทุนสถาบัน

นายศรพล กล่าวเพิ่มเติมว่า คาดหวังมูลค่าการซื้อขาย (วอลุ่มฯ) เฉลี่ยต่อวันของ SET และ mai ปีนี้มีโอกาสเติบโตจากปีก่อนที่ทำได้ 53,331 ล้านบาทต่อวัน หลังจากในช่วงเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา วอลุ่มตลาดปรับเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 62,503 ล้านบาท หรือเติบโต 26.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน พร้อมคาดหวังว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้วอลุ่มตลาดจะปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือทรงตัวในระดับดังกล่าว

โดยทิศทางฟันด์โฟลว์ต่างชาติคาดจะยังมีทิศทางไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะหากกำไรบจ.ไตรมาส 3/2567 ออกมาเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งมองว่าตามปกติแล้วกำไรบริษัทจดทะเบียนมักจะสอดคล้องกับตัวเลขจีดีพี

สำหรับภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 1,448.83 จุด เพิ่มขึ้น 6.6% จากสิ้นเดือน ส.ค. เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค. 2564 ทำให้เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.3% โดยทุกกลุ่มอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้น และกลุ่มที่ปรับตัวดีกว่าตลาดเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี สินค้าอุปโภคบริโภค และเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร

Back to top button