TMAN เทรดวันแรก! โบรกชี้กำไร 3 ปี โตเฉลี่ย 13% เคาะเป้าสูง 26.40 บาท

TMAN ลงสนามเทรดวันแรก! โบรกคาดการณ์อัตราการเติบโตเฉลี่ยของกำไรปี 67-69 (CAGR) 12.70% ต่อปี จากการเพิ่มผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ความต้องการกลุ่มโรงพยาบาล และการเพิ่มกำลังการผลิต โดยให้ราคาเป้าหมาย 24-26.40 บาทต่อหุ้น


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (21 ต.ค.67) ว่าหลักทรัพย์ บริษัท ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล จำกัด (มหาชน) หรือ TMAN ได้เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายใต้กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์

สำหรับ TMAN มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วหลัง IPO 300 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.75 บาท เสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก 102 ล้านหุ้น ประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 71.43 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมของ TKW Capital Limitedจำนวน 30.57 ล้านหุ้น

โดยเสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ผู้ลงทุนสถาบัน ผู้มีอุปการคุณของบริษัท พนักงานของบริษัทและบริษัทย่อย และบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับบริษัท ในระหว่างวันที่ 10 – 11 และ 15 ต.ค.67 ในราคาหุ้นละ 16.30 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนจากหุ้นใหม่ 1,164.31 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 6,520.05 ล้านบาท โดยมีบล. กสิกรไทย จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ

ทั้งนี้ TMAN ประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ของบริษัทกว่า 200 แบรนด์ รวมทั้งรับจ้างผลิตและจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์ เพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ของบุคคลภายนอกผลิตภัณฑ์ของ TMAN แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ ยาแผนปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์สมุนไพรผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอื่นๆ โดยมีแบรนด์ Propoliz ไอยรา MydaIBUMAN Polar และ Vita-C เป็นแบรนด์หลักที่ประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค

นายประพล ฐานะโชติพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TMAN เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะนำเงินระดมทุนส่วนใหญ่ไปขยายและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เพื่อรองรับแผนการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต

อย่างไรก็ดี TMAN มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO คือ กลุ่มครอบครัวฐานะโชติพันธ์ ถือหุ้นรวม 74.5% โดยบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและหลังหักสำรองต่างๆ ทุกประเภทที่กฎหมายและข้อบังคับของบริษัทกำหนดไว้ โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เพื่อประโยชน์ของกิจการและผู้ถือหุ้นเป็นหลัก

บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ประเมินราคาเป้าหมายปี 67 อยู่ที่ 26.40 บาท มีค่า P/E ที่ 23.8 เท่า ประมาณการรายได้และกําไรมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์อัตราการเติบโตเฉลี่ยของกำไรปี 67-69 (CAGR) 12.70% ต่อปี จากการเพิ่มผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการในกลุ่มโรงพยาบาล และการเพิ่มกำลังการผลิต ทำการกระจายสินค้าเอง เข้าถึงข้อมูลความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้ตรงจุดและรวดเร็ว ส่งผลให้มีความสามารถในการทํากำไรได้สูงกว่าเทียบกับบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน

โดยประเมินกำไรปี 67 อยู่ที่ 447 ล้านบาท และในปี 68 กำไรอยู่ที่ 514 ล้านบาท ถัดมาในปี 69 ประเมินกำไรอยู่ที่ 568 ล้านบาท

คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 12.7% ในปี 67-69 ตามรายได้ที่เพิ่มขึ้นและอัตราการทํากําไรที่สูงขึ้น โดยคาดว่าบริษัทฯ จะสามารถเพิ่มผลิตภัณฑ์ยาสามัญและยาสามัญใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะจากกลุ่มโรงพยาบาลและการกระจายสินค้าเอง ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึงข้อมูลความต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็ว

บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ประเมินราคาเป้าหมายปี 68 ที่ 25.50 บาท มีค่า P/E ที่ 20 เท่า คาดการณ์รายได้จากการขายในช่วงปี 67-69 โตเฉลี่ย 14% เป็นผลมาจากผลิตภัณฑ์เดิมและการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แบรนด์ Product champion โดยคาดว่ายอดขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะเร่งตัวขึ้น ขณะที่ยาแผนปัจจุบันจะเติบโตอย่างเสถียรภาพและคงสัดส่วนไว้ที่ 50%

บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินราคาเป้าหมายปี 67 ที่ 24.75 บาท มีค่า P/E ที่ 21.9 เท่า คาดการณ์รายได้ปี 67 อยู่ที่ 2.2 พันล้านบาท เติบโต 12% และกำไรปกติที่ 452 ล้านบาท เติบโต 17% ได้ปัจจัยหนุนจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ยารักษาโลก ผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพร การที่ประชาชนเข้าถึงการรักษาประกันสุขภาพของรัฐมากขึ้น ผู้ป่วยต่างชาติกลับมาใช้บริการสถานีพยาบาล โดยคาดการณ์ว่าในช่วงปี 67-69 จะสามารถรักษาการเติบโตของอัตรากำไรสุทธิไว้ที่ระดับ 20-21%

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ประเมินราคาเป้าหมายปี 67 อยู่ที่ 24 บาท และจะปรับเพิ่มเป็น 27.40 บาท ในปี 68 มี P/E ที่ 21.12 เท่า คาดการณ์กำไรปี 67-70 โตขึ้นเฉลี่ยปีละ 12.7% อยู่ที่ 651 ล้านบาทจากปี 66 ที่มีกำไร 431 ล้านบาท ซึ่ง TMAN มีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ราว 10-12 รายการ/ปี ทั้งเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ รวมถึงมีแผนขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและยาแผนปัจจุบัน ส่งผลให้คาดว่ารายได้ปี 67-70 โตขึ้นเฉลี่ยปีละ 12% อยู่ที่ 3.24 พันล้านบาทจากปี 66 ที่มี 1.97 พันล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินราคาเป้าหมายปี 68 ที่ 24 บาท มีค่า P/E ที่ 19.50 เท่า คาดการณ์กำไรสุทธิปี 67 อยู่ที่ 468 ล้านบาท และปี 68 คาดการณ์กำไรสุทธิอยู่ที่ 525 ล้านบาท โดยได้แรงหนุนจากการเติบโตของยอดขายทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงจำหน่ายสินค้าให้ลูกค้าโดยตรงจากการกระจายสินค้าเอง ทำให้มีความได้เปรียบ

Back to top button