KKPS ชู SPALI ท็อปพิกกลุ่ม “อสังหาฯ” กำไร-ยอดขาย Q3 โต เคาะเป้า 20.4 บาท

“บล.เกียรตินาคินภัทร” มองการปรับลดดอกเบี้ยของ ธปท. จะช่วยเพิ่มความสามารถในการจ่ายค่าบ้านแก่ผู้ซื้อบ้านได้ และช่วยคลายภาระหนี้ทงการเงินได้บางส่วน พร้อมมองว่า SPALI จะมีกำไรและพรีเซลที่เติบโตในไตรมาส 3 ให้ราคาเป้าหมาย 20.4 บาท


บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKPS ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (21 ต.ค.67) ว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะช่วยเพิ่มความสามารถในการชำระค่าบ้านแก่ผู้ซื้อบ้านได้เล็กน้อย และช่วยผ่อนคลายภาระหนี้ทางการเงินได้บ้าง แต่ฝ่ายวิเคราะห์เชื่อว่าการหั่นดอกเบี้ยดังกล่าวจะยังไม่สามารถช่วยผลักดันดีมานด์ในตลาดให้เพิ่มขึ้นได้

โดย KKPS คาดการณ์ว่ายอดพรีเซลรวม และกำไรของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะออกมาไม่ดีมาก โดยคาดการณ์ว่าจะมีแค่ SPALI ที่จะรายงานการเติบโตทั้งยอดพรีเซล และกำไรในไตรมาส 3/67

ฝ่ายวิเคราะห์ระบุว่า 10 บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์ประกาศเปิดตัวโครงการใหม่ในไตรมาส 3 รวมทั้งหมดมีมูลค่าอยู่ที่ 6.09 หมื่นล้านบาท โดย 67% ของโครงการเหล่านั้นเป็นอสังหาริมทรัพย์แนวราบ ส่วนอีก 33% เป็นคอนโดมิเนียม โดยยอดเปิดตัวทั้งหมดนั้นต่ำกว่าเป้าที่ก่อนหน้านี้วางไว้รวม 8 หมื่นล้านบ้าน ส่วนยอดพรีเซลในไตรมาส 3 ของ 10 บริษัทชั้นนำนั้นคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 6.17 หมื่นล้านบาท (55% โครงการราบ, 45% คอนโด) ซึ่งลดลง 8% จากปีก่อน และ 5% จากไตรมาสก่อนหน้า

ทั้งนี้ KKPS คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานหลักของ 5 ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (AP, LH, QH, SIRI, SPALI) จะรวมกันอยู่ที่ 5.96 พันล้านบาทในไตรมาส 3 ลดลง 5% จากปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยรายได้จากอสังหาริมทรัพย์แนวราบจะเพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อนหน้า แตะ 3.27 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตามคาดการณ์ว่า GPM จะลดลงราว 1-2% ยกเว้น SPALI ที่จะเพิ่มขึ้นทั้งจากปีก่อน และไตรมาสก่อนจาก Product Mix ของบริษัท

ฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะมีเพียงแค่ SPALI ที่จะรายงานอัตราการเติบโตกำไรจากการดำเนินงานหลักเมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่จะมี SPALI และ AP ที่จะเห็นการเติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

โดย SPALI จะโตแตะ 1.7 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 43% จากปีก่อน / เพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อนหน้า) ส่วน AP จะอยู่ที่ 1.42 พันล้านบาท (ลดลง 16% จากปีก่อน / เพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาสก่อน) ด้านผู้พัฒนารายอื่นมีดังนี้ SIRI อยู่ที่ 1.25 พันล้านบาท (ลดลง 19% จากปีก่อน / ลดลง 5% จากไตรมาสก่อนหน้า), LH อยู่ที่ 983 ล้านบาท แตะระดับต่ำสุดรอบ 12 ปี (ลดลง 19% จากปีก่อน / ลดลง 3% จากไตรมาสก่อน) และ QH อยู่ที่ 590 ล้านบาท (ลดลง 7% จากปีก่อน / ลดลง 5% จากไตรมาสก่อนหน้า)

อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์ว่ายอดพรีเซลจะฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนในไตรมาสที่ 4 ซึ่งมูลค่าเปิดตัวโครงการใหม่จะพุ่งสูงแตะ 1.1 – 1.2 แสนล้านบาท โดยฝ่ายการตลาดของแต่ละเจ้าน่าจะเร่งทำการตลาดเพิ่มทำยอดขายให้สูงขึ้น

ทั้งนี้ KKPS ระบุว่ายังมีประเด็นที่ต้องจับตามอง ได้แก่ 1) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เรียกร้องขอให้มีมาตรการกระตุ้นเพิ่ม 2) คาดการณ์ว่าจะมีความเสี่ยงดาวน์ไซด์ 10-15% ต่อ 10 ผู้พัฒนาชั้นนำในตลาด ซึ่งจะกระทบยอดพรีเซลรวมราว 3.05 แสนล้านบาทในปี 67 และ 3) ความเสี่ยงต่อการรีไฟแนนซ์ โดย 10 บริษัทดังกล่าวมีหุ้นกู้รวม 3.53 หมื่นล้านบาทที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในช่วงครึ่งหลังของปี 67 และอีก 3.4 หมื่นล้านบาทในครึ่งแรกของปี 68 และ 3.2 หมื่นล้านบาทในช่วงครึ่งหลังของปี 68

พร้อมกันนี้ให้คำแนะนำซื้อ SPALI ราคาเป้าหมาย 20.4 บาท และ SIRI ราคาเป้าหมาย 1.92 บาท ส่วน AP แนะนำถือราคาเป้าหมาย 10.4 บาท

Back to top button