DSI รับ “ดิไอคอนกรุ๊ป” เป็นคดีพิเศษ ฐานฟอกเงิน
เหล่าบอสโดนคดีเพิ่ม! ดีเอสไอ รับ “ดิไอคอนกรุ๊ป” เป็นคดีพิเศษแล้ว จับมือปปง. ลุยสางเส้นทาง “ฟอกเงิน”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (24 ต.ค. 67) พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รักษาการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ (DSI) เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ตั้งคณะพนักงานสืบสวน เพื่อดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐานในคดี “ดิไอคอน” โดยขณะนี้พบว่า มีการกระทำความผิดตามมูลฐานเกิดขึ้น คือความผิดอาญาฐานฉ้อโกงประชาชน ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงิน ตามมาตรา 3 อนุ 3 และยังพบว่า มีทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดในคดีนี้ มีมูลค่าเกินกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งเข้าหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ตามประกาศ กคพ. (ฉบับที่ 8)ฯ ได้กำหนดให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ รับไว้สอบสวนเป็นคดีพิเศษที่ 115/2567
“ดีเอสไอจะรับสอบสวนเป็นคดีพิเศษ เฉพาะความผิดอาญาฐานฟอกเงิน ซึ่งเป็นการดำเนินคดีกับผู้ที่โอนหรือรับโอนทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดหรือมีการได้มาหรือครอบครองหรือใช้ประโยชน์ทรัพย์นั้นโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์จากการกระทำความผิดมูลฐาน ในที่นี้คือความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน เท่ากับว่าตอนนี้เราจะรับคดีอาญาฐานฟอกเงิน ส่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังคงสอบสวนความผิดอาญาฐานฉ้อโกงประชาชนและความผิดอื่น ส่วนทางสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือปปง. ก็จะรับดำเนินการเรื่องทรัพย์สิน” พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าว
จากการตรวจสอบพบทรัพย์สินที่มีพยานหลักฐานน่าเชื่อว่าได้มาในช่วงเวลากระทำความผิด ดังนี้
- ที่ดินในพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 13 แปลง เนื้อที่รวมประมาณ 3 ไร่เศษ ราคาประเมินมูลค่าประมาณ 60,000,000 บาท ประกอบด้วย ที่ดินและอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด จำนวน 8 แปลง เนื้อที่รวม 240 ตารางวา ในพื้นที่เขตบางเขน และที่ดินที่เป็นชื่อของนายวรัตน์พลฯ จำนวน 5 แปลง เนื้อที่ 282.20 ตารางวา ในพื้นที่เขตบางเขน บึงกุ่ม บางกะปิ ลาดพร้าว
- ที่ดินในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี จำนวน 3 แปลง รวมเนื้อที่กว่า 63 ไร่เศษ ราคาซื้อขายประมาณ 300,000,000 บาท
- ทรัพย์สินที่ได้จากการที่คณะพนักงานสืบสวนได้ทำการตรวจค้นเป้าหมายห้องเช่าบริเวณถนนรามอินทรา ซอย 9 อาทิ นาฬิกา, กระเป๋าแบรนด์เนม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบว่าทรัพย์นั้นเป็นของแท้หรือของปลอม อย่างไร ตามที่มีการตั้งข้อสังเกต
“ไม่ว่าจะเป็นของแท้หรือของไม่แท้ต้องยึดมาตรวจสอบทั้งหมด ถ้าเป็นของแท้ก็มีมูลค่าสูง ถ้าเป็นของไม่แท้ก็มีมูลค่าต่ำหรือไม่สูง แต่ว่าทุกอย่างมีคุณค่าในการพิสูจน์ ถ้าเป็นของปลอมก็ชวนคิดต่อไปว่า กลุ่มผู้กระทำความผิดมีข้อปลอมไว้ทำอะไรหรือว่าเอาไว้หลอก ทำให้เห็นว่าธุรกิจมีความน่าเชื่อถือ มีใส่ของแท้บ้างหรือของปลอมบ้างหรือเปล่า ทำให้เห็นว่าธุรกิจนี้ประสบความสำเร็จ ทำให้ประชาชนยิ่งหลงเชื่อเข้าไปใหญ่ หรือว่าเขาเอาไว้แจกใครหรือเปล่า” พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าว
สำหรับกลุ่มผู้ต้องหา 18 คน ที่ตำรวจดำเนินการแล้วนั้น พ.ต.ต.ยุทธนา เชื่อว่า กลุ่มนี้ก็มีพฤติกรรมในการโอนหรือรับโอน และครอบครอบทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดนี้ด้วย นอกจากนี้ยังมีผู้กระทำความผิด แถว 2, แถว 3 ที่ต้องดำเนินคดีทั้งหมด ดีเอสไอ, ตำรวจ และปปง. ไม่ได้ทำงานซ้ำซ้อน แต่เราช่วยเสริมเพื่อเติมเต็มกันเพื่อให้ประชาชนและผู้เสียหายได้รับความเป็นธรรมและเยียวยามากที่สุด
รักษาการแทน อธิบดีดีเอสไอ กล่าวด้วยว่า ถ้าคดีเข้าข่ายเป็นแชร์ลูกโซ่ ดีเอสไอก็ต้องโอนคดีมาดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด แต่ในขณะนี้ความยังไม่ปรากฏชัดว่าเป็นแชร์ลูกโซ่
ด้านนายวิทยา นีติธรรม โฆษกประจำสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กล่าวเสริมว่า การดำเนินการของทั้งตำรวจและกรมสอบสวนคดีพิเศษที่ไปดำเนินการกับทรัพย์สินตรวจยึดเป็นของกลางในเบื้องต้นนั้น ยืนยันว่า เป็นคุณกับการดำเนินการตรวจสอบของปปง. เพราะสุดท้ายทรัพย์สินจะมารวมที่ สำนักงาน ปปง. ซึ่งหน่วยงานหลักหน่วยงานเดียวของประเทศไทยที่มีอำนาจดำเนินการกับทรัพย์สิน เพื่อร้องขอให้ทรัพย์ดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน แต่กรณีนี้มีผู้เสียหาย ตามกฎหมายจะต้องนำไปคืนหรือชดใช้คืนให้กับผู้เสียหาย